ข้อคิด…คืนก่อนที่พระเยซูเจ้าสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงนั่งที่โต๊ะอาหารกับพวกสาวกของพระองค์ คนกลุ่มเล็กๆนั่งล้อมที่โต๊ะอาหาร ย่อมบ่งบอกถึงความใกล้ชิด ความอบอุ่น ความไว้วางใจกัน และความรัก…แต่ถ้าหากมีผู้กำลังคิดทรยศพระองค์อยู่ที่นั่นด้วย ภาพเช่นนี้จะทิ่มแทงบาดหัวใจยิ่งขึ้น ทั้งจะเพิ่มความเจ็บปวดมากขึ้น เมื่อความร้าวฉานเกิดขึ้นในหมู่คนที่มีความสนิทสนมใกล้ชิดกัน การสมานฉันท์ซึ่งกันและกันจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ยากยิ่งขึ้น ยากมากกว่าการสมานฉันท์กับคนที่เรารู้จักกันแบบธรรมดา
ที่โต๊ะอาหาร ผู้กำลังคิดทรยศพระอาจารย์ก็นั่งอยู่ด้วย…เราอาจจะตั้งคำถามว่ายูดาสมาปรากฏตัวอยู่ด้วยทำไม?…เมื่อเขาได้ตั้งใจที่จะทรยศขายพระเยซูเจ้า บางทีเขาอาจจะต้องการแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา และพระเยซูเจ้าเองก็คงจะไม่เคลือบแคลงสงสัยแต่อย่างใด
นักบุญเปาโลได้เล่าเรื่องการรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูเจ้าว่า…ในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหยิบปัง ขอบพระคุณ แล้วทรงบิออก ตรัสว่า “นี่คือกายของเราเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด …ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเรา ทุกครั้งที่ท่านจะดื่ม จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด”
มีประโยคหนึ่งที่น่าจะเป็นประโยคที่กินใจเรามากๆ ก็คือ “ในคืนที่ทรงถูกทรยศนั้นเอง” มันเป็นคืนแห่งคืนทั้งหลาย แทนที่พระองค์จะอยู่ตัวคนเดียวในค่ำคืนนั้น และปล่อยพวกอัครสาวกไป แต่พระองค์กลับไม่ทำเช่นนั้น พระองค์ได้แสดงความรักที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา และทรงแสดงความสนิทสนมโดยนั่งลงรับประทานอาหารค่ำพร้อมกับพวกเขา แล้วนั้นพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด” นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้พวกสาวกระลึกถึงพระองค์ในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ…ณ คืนที่จะมีคนหนึ่งแต่ในพวกเขา กำลังคิดจะทรยศพระองค์
บางคนอาจจะคิดว่า พระเยซูเจ้าไม่รู้สึกเจ็บปวดต่อการทรยศของยูดาสหรืออย่างใด แน่นอนพระเยซูเจ้าจะต้องรู้สึกเจ็บปวดมากๆ เพราะนักบุญยอห์นบอกเราว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นทุกข์ในพระทัย เมื่อทรงพูดถึงผู้ทรยศ (ยน 13: 21) เป็นพระองค์เองที่ได้ทรงเลือกและทำการฝึกอบรมยูดาสพร้อมๆกับพวกอัครสาวกองค์อื่นๆ เขาได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระองค์ ทั้งได้เป็นพยานยืนยันถึงการอัศจรรย์ต่างๆของพระองค์ เขาอยู่ในแวดวงคนสนิทของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น ในขณะนี้เขากำลังจะทรยศพระองค์…การทรยศของเพื่อนคนหนึ่งย่อมสร้างความเจ็บปวดและยากที่จะทำการสมานฉันท์มากกว่าคนที่เป็นศัตรูเป็นไหนๆ
แทนที่จะแสดงออกถึงความเจ็บปวด พระเยซูเจ้ามิได้แสดงอาการตอบโต้แต่อย่างใดต่อยูดาสเลย พระองค์ไม่ยอมที่จะประจานเขาต่อหน้าเพื่อนอัครสาวกองค์อื่นๆ แต่พระองค์กลับยื่นขนมปังชิ้นหนึ่งให้แก่เขา อันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมิตร อันเป็นการเตือนสติยูดาสถึงสิ่งที่เขากำลังตั้งใจคิดจะทำ และด้วยการไม่ยอมบอกว่าใครเป็นผู้ทรยศ พระเยซูเจ้าทรงยอมให้ประตูห้องเปิด เพื่อเปิดโอกาสให้เขาได้สามารถออกไปหาพรรคพวกของเขา
แน่นอนสิ่งที่ยูดาสได้กระทำลงไป ได้ทำให้พวกอัครสาวกเจ็บปวดไปด้วย เพราะเขาก็เป็นอัครสาวกคนหนึ่งเหมือนกัน ยูดาสได้รับความไว้วางใจจากเพื่อนๆสาวกด้วยกัน มีอะไรก็แบ่งปันกัน ในเมื่อเขาได้ทรยศพระเยซูเจ้า เขาก็ได้ทรยศเพื่อนๆสาวกด้วยกันด้วย
พวกเราคงไม่อยากจะจดจำค่ำคืนนี้ที่ยูดาสได้ทรยศพระเยซูเจ้า แต่เราอยากจะจดจำค่ำคืนนั้น ที่เป็นค่ำคืนแห่งพระพรที่พระเยซูเจ้าได้ทรงหยิบยื่นให้กับพวกเราแทนการทรยศ…พิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณนี้คงจะช่วยให้เรา ได้รับการเยียวยาจากการทรยศทั้งหลายทั้งปวงที่เราแต่ละคนได้รับจากน้ำมือของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเพื่อนพี่น้องที่อยู่ด้วยกันกับเรา ในบ้านเดียวกัน ในหมู่คณะเดียวกัน ในสังคมเดียวกัน…และเช่นเดียวกันพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณนี้คงจะสามารถช่วยเรามิให้ทรยศพระเจ้าและคนอื่นด้วย
การรำลึกถึง
พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับอัครสาวกของพระองค์ว่า“จงทำการนี้เพื่อระลึกถึงเราเถิด”เราอยากให้คนอื่นได้รำลึกถึงเราสำหรับพระเยซูเจ้าก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าเราต้องการให้คนอื่นเขารำลึกถึงเรา เราก็มีหน้าที่จะต้องรำลึกถึงคนอื่นด้วย ความทรงจำเป็นอะไรบางอย่างที่มีอานุภาพ ถ้าจำอะไรที่ผิดๆ ก็อาจจะนำความตายมาให้ได้ แต่ถ้าจำสิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้อง ก็จะนำชีวิตมาให้ และจะเป็นรูปแบบของความไม่รู้ตาย การรำลึกถึง ทำให้อดีตมีชีวิตขึ้นมาใหม่ คนที่เรารำลึกถึงจะไม่มีวันตายเลย พวกเขายังคงเดินและพูดคุยกับเราต่อไป
พระเจ้าข้า เมื่อเราร่วมกันถวายพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ ข้าพเจ้าทั้งหลายก็รำลึกถึงพระองค์ ขอให้การรำลึกถึงพระองค์นั้น ได้นำชีวิตนิรันดรมาให้กับข้าพเจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่ในขณะนี้และตลอดไปด้วยเถิด
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์