สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้ง 5 มิ.ย. 2016
เชื่อว่าทุกท่านคงได้ยินคำกล่าวที่บอกว่า“สวรรค์ในอกนรกในใจ”หรือ“จะสุขจะทุกข์มันอยู่ที่ใจ”และทุกท่านก็กดไลค์เห็นด้วยเพราะ… ความสุขหรือความทุกข์นั้นมันเป็นเรื่องของ“ความรู้สึก”ของแต่ละคนจริงๆ
แน่นอนว่าความรู้สึกสุขหรือทุกข์ของคนเรานั้นโดยส่วนใหญ่แล้วก็มีสาเหตุจากภายนอกด้วยเหมือนกันอาจจะมาจากการกระทำคำพูดของบุคคลรอบข้างหรือจากเหตุการณ์ทางธรรมชาติซึ่งมีทั้งเรื่องที่นำความสุขและก่อให้เกิดความทุกข์ด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีคำสอนคำชี้แนะให้มนุษย์เราจะต้องทำตนอย่างไรให้เกิดความสุขและไม่ต้องทุกข์จนเกินพิกัดถ้าเราสังเกตดูจะพบว่าทุกศาสนาจะมีคำสอนให้พ้นทุกข์และเกิดสุขด้วยกันทั้งนั้นและส่วนใหญ่แล้วก็จะสอนไปในทิศทางเดียวกันนั่นคือสอนให้ยอมรับและเข้าใจกับความจริงที่เกิดขึ้นอยู่กับมันและหาวิธีการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขพูดง่ายๆก็คือสอนให้รู้จัก“ตัดใจ” และ“ทำใจ” ให้ได้นั่นเอง
อาการดังกล่าวนี้เชื่อว่าทุกท่านคงมีประสบการณ์ด้วยตัวเองทั้งนั้น… คือมีอยู่หลายครั้งที่เรามีความสุขมีความยินดีเมื่อมีเหตุการณ์หรือคำพูดการกระทำที่ถูกใจเราทำให้เราพอใจเช่นอาจจะมาจากคำชมจากกำลังใจหรืออาจจะมาจากสิ่งของวัตถุก็ได้และเช่นเดียวกันความทุกข์ก็ย่อมเกิดขึ้นได้จากเรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้ด้วยเหมือนกันหากมันไม่ถูกใจตรงใจของตน
มนุษย์เราทุกคนปรารถนาจะมีความสุขไม่มีใครที่ต้องการความทุกข์ส่วนความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไรก็ดูเหมือนว่ายังยากต่อความเข้าใจและอธิบายให้กระจ่างชัดเพราะดูเหมือนว่ามันมีอยู่จริงๆหรือเปล่าในโลกของเรานี้เพราะหลายคนที่เราคิดว่าเขามีความสุขแล้วแต่เบื้องลึกๆเขากลับจมอยู่ในความทุกข์เป็นประเภท“หน้าชื่นอกตรม” มีพร้อมทุกอย่างที่สัมผัสได้ภายนอก
ดังนั้นเมื่อพิจารณากันอย่างดีแล้วจะพบว่าเหตุภายนอกต่างๆที่มากระทบกับชีวิตของเรานั้นมีอิทธิพลต่อเราทำให้“รู้สึก” สุขหรือทุกข์…. แต่ถ้าเรามีภูมิคุ้มกันการกระทบของสิ่งภายนอกต่างๆอย่างดีเราจะสามารถทำให้ชีวิตของตนมั่นคงไม่สั่นคลอนหวั่นไหวจะไม่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกถูกใจ-ไม่ถูกใจชอบ-ไม่ชอบและดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าคำสอนทางศาสนานี้แหละจะเป็นตัวสร้าง“ภูมิคุ้มกัน” ดังกล่าวได้
สำหรับเราที่เป็นคริสตชนเรามีคำสอนเด่นชัดในเรื่องนี้ที่บันทึกอยู่ในพระวรสารเป็นคำสอนขององค์พระเยซูเจ้าเองที่กล่าวถึง“ความสุขที่แท้จริง”ซึ่งจะได้นำมาเล่าสู่กันฟังในสัปดาห์หน้าสำหรับสัปดาห์นี้… สวัสดีครับ.