ข้อคิดอาทิตย์ที่สี่ เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าปีA
มธ1: 18-24…พระนางมารีย์ซึ่งเป็นคู่หมั้นของโยเซฟจากราชวงศ์ดาวิดจะให้กำเนิดบุตรชายชื่อว่า“เยซู”…
ขณะที่เรากำลังเข้าใกล้วันสมโภชพระคริสตสมภพทุกสิ่งทุกอย่างดูเหมือนว่าจะรีบเร่งกันไปหมดจนอาจจะทำให้ส่วนที่เป็นเรื่องของจิตวิญญาณถูกบดบังไปหรือไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร…ขอให้เราได้หยุดไตร่ตรองสักครู่หนึ่งถึงการบังเกิดมาเป็นมนุษย์ขององค์พระบุตรพระเจ้าเพื่อให้จิตวิญญาณและหัวใจของเราได้มีที่ว่างและพร้อมที่จะต้อนรับองค์พระเยซูคริสตเจ้าที่กำลังจะเสด็จมาหาเราในพิธีบูชาขอบพระคุณนี้และในชีวิตประจำวันของเรา
ข้อคิด…ทั้งสามบทอ่านของวันอาทิตย์ที่สี่เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าอันเป็นอาทิตย์สุดท้ายของเทศกาลนี้ต่างก็กล่าวถึงอัตลักษณ์ของ“พระผู้ที่จะต้องเสด็จมา”…อัตลักษณ์ของพระกุมารน้อยนี้ยังจะแลเห็นไม่ชัดนักในพระธรรมเก่าแม้ว่าท่านประกาศอิสยาห์จะได้พูดถึงการเสด็จมาของเด็กน้อยอัศจรรย์ท่านหนึ่ง(อสย7: 10-14)แต่ก็ไม่มีเหตุผลอย่างใดที่จะเชื่อว่าท่านประกาศกจะรู้จักอย่างลึกตื้นหนาบางถึงเด็กน้อยอัศจรรย์นี้คำทำนายต่างๆจะเป็นที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งก็ต่อเมื่อเหตุการณ์ต่างๆจะได้อุบัติขึ้นตามที่ได้ทำนายไว้…ท่านประกาศกได้ทูลทัดทานกษัตริย์อาหัสว่าราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิดมิใช่ว่าจะอยู่ได้ด้วยความช่วยเหลือของกษัตริย์จากต่างชาติแต่จะอยู่ได้ด้วยความไว้วางใจในพระเจ้าเท่านั้นโดยท่านให้เครื่องหมายอันหนึ่งแก่กษัตริย์ว่า“หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และจะคลอดบุตรชายซึ่งจะได้รับนามว่า ‘อิมมานูเอล’แปลว่า‘พระจ้าทรงสถิตกับเรา’”
ส่วนในพระวรสารนั้นนักบุญมัทธิวก็แสดงให้เห็นว่าคำทำนายต่างๆได้สำเร็จเป็นไปในองค์พระเยซูเจ้าด้วยการที่ท่านได้ทำการเฉลิมฉลองพระเยซูเจ้าว่าเป็นความสำเร็จบริบูรณ์ขั้นสุดท้ายของคำทำนายคือเป็นพระกุมารแห่งราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิดเกิดจากหญิงพรหมจารีและจะเป็น”องค์อิมมานูเอล” พระเจ้าทรงสถิตกับเรา…เพราะนักบุญเปาโลในวันนี้ได้บอกกับเราในจดหมายของท่านที่เขียนถึงชาวโรมว่า“ข่าวดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้าซึ่งโดยธรรมชาติมนุษย์ทรงบังเกิดในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิดและได้รับการสถาปนาขึ้นให้เป็นพระบุตรผู้ทรงอำนาจของพระเจ้าโดยการกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย”
แม้การยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าเป็นการยอมรับที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่พระเยซูเจ้าได้กลับคืนพระชนมชีพแล้วก็ตามแต่นักบุญมัทธิวต้องการจะบอกเราในพระวรสารของท่านในวันนี้ว่าพระเยซูคริสตเจ้าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้าตั้งแต่พระองค์เริ่มปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางพรหมจารีมารีย์แล้วโดยได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความเป็นพรหมจารีของพระนางมารีย์เพราะนั่นแหละที่จะหมายสำคัญที่บ่งแสดงว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรพระเจ้าแม้ว่าพระนางมารีย์จะได้หมั้นกับโยเซฟและมีทารกอยู่ในครรภ์แล้วแต่เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นโดยอาศัยพระจิตเจ้าโยเซฟซึ่งได้ชื่อว่าเป็น“โอรสกษัตริย์ดาวิด”ได้ตกลงใจที่จะถอนหมั้นกับพระนางมารีย์เพราะรู้สึกไม่ดีเมื่อรู้ว่าพระนางได้ตั้งครรภ์แล้วแต่พระวาจาของพระเจ้าได้มาถึงท่านบอกให้ท่านยอมรับพระนางมารีย์เข้าบ้านเมื่อท่านตกลงใจที่จะทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าท่านยอมรับความรับผิดชอบในพระนางและพระโอรสของพระนางต่อหน้าสาธารณชนว่าบุตรที่จะเกิดมาเป็นบุตรของท่านเองและเมื่อโยเซฟใช้สิทธิของความเป็นบิดาที่จะตั้งชื่อเด็กทารกท่านก็ได้กลายเป็นบิดาที่ถูกต้องตามกฎหมายขององค์พระเยซูเจ้าดังนั้นโดยผ่านทางท่านโยเซฟพระเยซูเจ้าจึงได้กลายเป็น“โอรสของกษัตริย์ดาวิด”…แต่ว่าโดยผ่านทางพระจิตเจ้าที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเป็น“พระบุตรพระเจ้า”เพราะการปฏิสนธิในครรภ์ของพระนางมารีย์ของพระเยซูเจ้านั้นเป็นผลงานขององค์พระจิตเจ้าล้วนๆซึ่งทำให้ความเป็นพรหมจารีและความเป็นมารดาสามารถไปด้วยกันได้ในเวลาเดียวกันในพระนางมารีย์
องค์พระจิตเจ้าซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนณเวลาสร้างโลกนั้นก็เป็นองค์พระจิตเจ้าองค์เดียวกันที่ได้ทรงบันดาลให้พระนางมารีย์ปฏิสนธิและได้ให้กำเนิด”พระบุตรพระเจ้า” คือองค์พระเยซูคริสตเจ้า
นอกจากสิ่งมหัศจรรย์สุดๆที่ได้เกิดขึ้นกับพระนางมารีย์ดังกล่าวแล้วนั้นก็ยังมีบางสิ่งบางอย่างอีกที่เป็นอะไรที่ใหม่สุดๆเกี่ยวกับพระนางมารีย์คือพระนางได้ทรงเป็นสตรีที่เป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติของเรา มิใช่เป็นบุรุษที่เป็นศูนย์กลางคือพระนางมารีย์ที่ได้นำเอาการประทับอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าซึ่งเป็น“พระบุตรพระเจ้า” มาให้กับโลกและพระนางสามารถพูดถึงองค์พระเยซูเจ้าได้ว่า“นี่เป็นร่างกายของฉันและนี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของฉัน” ซึ่งคนอื่นๆไม่มีสิทธิที่จะพูดถึงพระเยซูเจ้าเช่นนี้ได้เพราะโดยผ่านทางพระนางที่เราได้รู้จักและได้มีโอกาสทำการสมโภชพระองค์ในโอกาสต่างๆก็ได้ทำให้เราได้รู้และเข้าใจว่าพระองค์มิใช่เป็นเพียงแต่“โอรสของกษัตริย์ดาวิด”และเป็น“พระบุตรพระเจ้า”เท่านั้นแต่พระองค์ยังเป็น“พระบุตรของพระนางมารีย์”ซึ่งพระนางได้ให้กำเนิดมาเพื่อเป็นชีวิตของโลกอีกด้วยและพระนางมารีย์เองก็จะได้รับการขนามนามว่าเป็น“พระมารดาพระเจ้า” อีกด้วย