ข้อคิดวันฉลองพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์พระวรกาย
มธ 17: 1-9 …พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนพระวรกายของพระองค์ต่อหน้าอัครสาวกทั้งสาม…
ในวันฉลองนี้ พระศาสนจักรนำเสนอเรื่องราวของการเปลี่ยนแปลงพระวรกายหรือการประจักษ์พระองค์ของพระเยซูเจ้า…พระพักตร์ของพระองค์เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์และฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง…เราแต่ละคนสามารถมีประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงตัวตนได้เหมือนกัน เป็นพระหรรษทานและคุณธรรมที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงตัวเราให้มีสง่าราศรีเหมือนพระวรกายของพระเยซูเจ้า แต่ว่าบาปจะทำให้ตัวตนของเราเสียโฉม…ให้เราได้หันกลับมาหาองค์พระคริสตเจ้าสำหรับความช่วยเหลือต่างๆที่เราต้องการจากพระองค์ เพื่อว่าเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราด้วยการฝึกปฏิบัติคุณธรรม
ข้อคิด…เช่นเดียวกับเรื่องราวการรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้า…การประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้าต่อหน้าอัครสาวก ก็เป็นการแสดงองค์ของพระเยซูเจ้าดังที่พระองค์ทรงเป็นจริงๆ…เป็นเหตุการณ์ที่ก่อประโยชน์อย่างมากให้กับบรรดาอัครสาวก คือเมื่อพวกเขาได้แลเห็นเกียรติมงคลอย่างของพระผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ พวกเขาจะได้มีกำลังใจและความมุ่งมั่นที่จะติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุด แต่ถึงกระนั้นในขณะนี้พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ต้องรอจนกระทั่งพระเยซูเจ้าจะได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจริงๆแล้วเท่านั้น
เรื่องราวของการประจักษ์พระวรกายของพระเยซูเจ้าต่อหน้าอัครสาวกนั้น เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนภูเขาสูง เพราะบนภูเขา สามารถให้ทัศนียภาพที่กว้างไกลกว่า และจากบนภูเขาเราสามารถมองเห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆข้างล่างได้มากขึ้น ซึ่งทำให้เราได้รู้จักและเข้าใจโลกมากขึ้น นอกจากนั้น ยังช่วยยกจิตใจของเราขึ้นสู่เบื้องบนได้อีกด้วย ทำให้เราอยู่ต่อหน้าความยิ่งใหญ่และความสวยงามของธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า และบนภูเขาสูง ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราอยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นอีกด้วย หรือกำลังอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยซ้ำไป
ประสบการณ์บนภูเขาสูงที่พระวรสารในวันนี้กล่าวถึงนั้น น่าจะเป็นภูเขาทาบอร์ อันมีความหมายอย่างใหญ่หลวงสำหรับองค์พระเยซูเจ้าเอง เพราะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญมากๆในชีวิตสาธารณะของพระองค์ เป็นช่วงเวลาที่พระองค์กำลังเริ่มเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อไปรับทรมานและสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน…พระองค์ทรงทราบดีว่าชะตากรรมที่ว่านั้น กำลังรอคอยพระองค์อยู่ เหมือนกับที่ได้เกิดขึ้นกับบรรดาประกาศกก่อนหน้าพระองค์ นั่นก็คือความตายที่รุนแรง และเพื่อที่จะใช้เวลาทำการไตร่ตรองและอธิษฐานภาวนาสำหรับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ พระองค์ได้ทรงขึ้นไปบนภูเขาสูง โดยนำเอานักบุญเปโตร ยากอบและยอห์นให้ไปกับพระองค์ด้วย
วันนั้นท้องฟ้าแจ่มใส ทันทีที่พระเยซูเจ้าได้ขึ้นไปถึงยอดเขา พระองค์ก็ได้เริ่มอธิษฐานภาวนา ทันใดพระพักตร์ของพระองค์ก็เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์ ฉลองพระองค์กลับมีสีขาวดุจแสงสว่าง โมเสสและประกาศกเอลียาห์แสดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์…นักบุญเปโตรถึงกับกราบทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ข้าพเจ้าจะสร้างเพิงขึ้นสามหลัง หลังหนึ่งสำหรับพระองค์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส และอีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์” ขณะที่เปโตรกำลังพูดอยู่นั้น มีเมฆสว่างจ้าก้อนหนึ่งปกคลุมพวกเขาไว้ อันเป็นสัญลักษณ์ของการประทับอยู่ของพระเจ้า มีเสียงหนึ่ง อันเป็นเสียงของพระบิดาเจ้า ดังออกมาจากเมฆนั้น เป็นพระวาจาที่น่ารักมากว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเรา เราพึงพอใจยิ่งนัก จงฟังท่านเถิด”
นักบุญเปโตรต้องการค้างอยู่บนภูเขานั้นเลย จึงทำให้ท่านต้องการสร้างกระโจมที่พักอยู่ที่นั่นเลย เพื่อให้เป็นที่พำนักที่ปลอดจากภัยอันตรายและปัญหาทุกข์ร้อนทั้งหลาย แต่ว่าจุดประสงค์ของประสบการณ์ที่ว่านี้ มิใช่เพื่อให้หนีจากภัยอันตรายและปัญหาทุกข์ร้อน แต่ต้องการเสริมสร้างและเพิ่มพลังเข้มแข็งให้กับพระเยซูเจ้าและบรรดาศิษย์ เพื่อให้พวกเขาเมื่อกลับลงไปจากบนภูเขาแล้ว จะได้สามารถเผชิญหน้ากับความวุ่นวายและภัยอันตรายต่างๆ
แน่นอน พวกเขาคงจะต้องการพลังเข้มแข็งอีกมากมาย เพราะวันนั้นจะมาถึง และจะมีภูเขาอีกลูกหนึ่งต่างหาก วันนั้น ท้องฟ้าจะมืดมัว พระพักตร์ของพระเยซูเจ้าจะโชกไปด้วยเหงื่อและเลือด ฉลองพระองค์ก็จะดูไม่ได้เอาเสียเลย และบรรดาศิษย์จะหนีจากพระองค์ไป…จะมีเฉพาะโจรสองคนซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ ศิษย์ที่รักและสตรีใจศรัทธาบางคนซึ่งอยู่เป็นเพื่อนพระองค์…จะไม่มีเสียงจากสวรรค์ จะมีแต่เสียงของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา พากันสบประมาทเยาะเย้ยพระองค์ พวกศิษย์ก็จะหนีกระจัดกระจายกันไป และไม่ต้องการมีส่วนรับรู้อะไรทั้งสิ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์ของพวกเขา
น่าจะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนๆกันที่ภูเขาทั้งสองลูก คือพระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระบิดาเจ้า จึงเป็นที่ประจักษ์แจ้งวาสิ่งที่พยุงพระองค์ให้เข้มแข็งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นวันที่สดใสหรือวันที่มืดมน ก็คือการอธิษฐานภาวนาและการมีความสัมพันธ์พิเศษกับพระบิดาเจ้า
เชื่อเหลือเกินว่า หลายๆคนในพวกเราคงจะมีประสบการณ์แห่งภูเขาทาบอร์ ภูเขาแห่งความชื่นชมยินดี…แต่คิดว่าพวกเราส่วนใหญ่คงจะคุ้นเคยกับภูเขากัลวารีโอมากกว่า…สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเราแต่ละคน คือเราจะต้องประสบพบกับภูเขาทั้งสองลูก…บน “ภูเขาทาบอร์” เราได้ลิ้มรสความสวยงามแห่งสวรรค์ เราได้รับกำลังใจ เรามีความสุขใจ จนเรากล้าพูดว่า “อยู่ที่นี่ดีจริงๆ” ส่วนที่ “ภูเขากัลวารีโอ” เราอาจจะต้องจมอยู่ในความทุกข์โศกและความเจ็บปวดทั้งกายและใจ…แต่ว่าที่ “ภูเขากัลวารีโอ” อาศัยพระหรรษทานของพระเจ้า เราสามารถเรียนรู้ที่จะกราบทูลพระบิดาเจ้าว่า “ขอให้น้ำพระทัยของพระองค์จงเป็นไป”
บทสรุปจากพระวรสารในวันนี้ที่เราแต่ละคนควรจะได้นำเอาไปไตร่ตรอง ก็คือ ในชีวิตของเราแต่ละคน เราสามารถบอกได้ไหมว่า “วันใดเราอยู่บนภูเขาทาบอร์ที่เรามีความสุขใจมากที่สุด?” และ “วันใดเราอยู่ที่เขากัลวารีโอที่เรามีความทุกข์ใจมากที่สุด?”…และเราจะกราบทูลพระเจ้าว่าอย่างไร?
สวัสดี…คุณพ่อวีรศักดิ์