สวัสดีครับพี่น้องที่รัก พบกันอีกครั้งเช่นเดิมกับคอลัมน์ “คิดสักนิด..สะกิดใจ” ในสัปดาห์ที่ 16 ของเทศกาลธรรมดา พระวรสารในอาทิตย์นี้ พระเยซูเจ้าทรงสอนเราเกี่ยวกับพระธรรมล้ำลึกเรื่องพระอาณาจักรสวรค์ในอุปมา “เรื่องข้าวละมาน” พ่อเองก็ไม่ค่อยเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับความแตกต่างของ “ข้าวละมาน” กับ “ข้าวสาลี” ที่พระเยซูเจ้าทรงพูดถึงในวรสาร รู้แต่เพียงว่า ข้าวสาลีเป็นข้าวพันธุ์ดี ส่วนข้าวละมานเป็นข้าวพันธุ์ไม่ดี แต่ชาวยิวในสมัยพระเยซูคงเข้าใจในเรื่องนี้ดีนี้อยู่ ซึ่งหากเปรียบเทียบและพูดแบบไทย “ข้าวละมาน” นี้ ก็น่าจะหมายถึง “วัชพืชในนาข้าว” ฟังแล้วก็น่าจะหมายถึง สิ่งเลวๆ ทั้งหลายที่ปะปนอยู่ในสังคมและในชีวิตของเรา วัชพืชเป็นสิ่งชาวนาไม่ชอบ เพราะค่อยแย่งอาหาร ทำให้ข้าวเติบโตได้ไม่ดีนัก ให้ผลได้ไม่เต็มที่ และเผลอๆ ถ้ามีวัชพืชมากเกินไป ก็อาจทำให้ข้าวในเนื้อหาเสียหายเป็นจำนวนมากด้วย แต่พระเยซูเจ้าทรงเปรียบเทียบเรื่องนี้ เพื่อต้องการจะสอนและข้อคิดดีเกี่ยวกับชีวิตของเราหลายประการด้วยกัน คือ
ประการแรก ในชีวิตของเราและในสังคมของเรามีดีและไม่ดีปะปนกัน ดังอุปมาเรื่อง “ข้าวละมาน” ที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นถึงความอดทน และพระทัยเมตตาของพระเจ้า ผู้ซึ่งอนุญาตให้คนดีและคนไม่ดีอยู่ด้วยกันในโลก เพื่อให้คนที่ไม่ดีมีเวลากลับใจและเปลี่ยนแปลงตนเอง ก่อนที่วาระสุดท้ายจะมาถึงและต้องรับโทษ “จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว” (มธ 14:30) ดังนั้น เราจึงต้องรู้จักอดทนกับความอ่อนแอ และข้อบกพร่องกันและกัน โดยเฉพาะคนที่ทำผิดต่อเรา เพราะในความเป็นจริง คงไม่มีใครที่สมบูรณ์ครบครันและดีพร้อม เราจึงต้องมีทัศนะเชิงบวกในการมองสิ่งต่างๆ ทำนองที่ว่า “ในชั่วมีดี ในดีมีชั่ว” อีกทั้งปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรัก เห็นอกเห็นใจ และไม่ซ้ำเติมใคร เพราะมีแต่สิ่งนี้เท่านั้นที่จะช่วยเพื่อนพี่น้องของเราที่ผิดหลงให้หันกลับมาเดินในหนทางที่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผ่านทางแบบอย่างที่ดีและการภาวนาด้วยความร้อนรนของเราเพื่อเขา
ประการที่สอง เราต้องไม่ตัดสินคนอื่นว่าเป็นคนชั่ว หรือเป็นวัชพืชที่ต้องกำจัดทิ้งอยู่ตลอดเวลา เพราะการตัดสินเป็นหน้าที่ของพระเจ้า ส่วนหน้าที่ของเราคือ มองดูชีวิตและพิจารณาถึงความผิดบกพร่องต่างๆ ที่เราได้กระทำ สำนึกผิดและกลับมาหาพระเจ้า ดังนั้น ผู้ที่เราควรตัดสินจึงไม่ใช่คนอื่น แต่ควรเป็นตัวเราเอง แต่โดยทั่วไป เรามักจะมองข้ามความผิดของตนเอง กลับมองเห็นแต่ความผิดของคนอื่น
ประการสุดท้าย ศัตรูของเรามนุษย์ คือ ปีศาจ ที่พยายามทำให้ความชั่วเอาชนะความดี และเปลี่ยนคนดีให้ทำความชั่ว ดังนั้น การดำเนินชีวิตของเรา เราจึงต้องรู้จักต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ดีภายในตัวตนของเรา ยึดมั่นในความดีและในความถูกต้องมากกกว่าสิ่งชั่วร้าย ดังที่นักบุญเปาโลกล่าวไว้ว่า “เมื่อใดอยากทำดี เมื่อนั้นความชั่วก็อยู่ใกล้ข้าพเจ้าเสมอ ในส่วนลึกของจิตใจ ข้าพเจ้านิยมชมชอบธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า มีกฎอีกข้อหนึ่งในร่างกายข้าพเจ้าซึ่งสู้รบกับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และล่ามข้าพเจ้าไว้กับกฎของบาปซึ่งอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้า” (รม. 7:21-23) แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าจึงตรัสสอนเราผ่านท่านนักบุญเปาโลว่า ผ่านทางความอ่อนแอที่ท่าน (เปาโล) มีเท่านั้นที่พระเจ้าจะเผยพระสิริของพระองค์ได้ “พระหรรษทานของเราเพียงพอสำหรับท่าน เพราะอานุภาพแสดงออกมาเต็มที่เมื่อมนุษย์มีความอ่อนแอ” (2 คร.12:9) เราจึงต้องรู้จักเลือกความดีและวอนขอให้พระเจ้าทรงช่วยเราเสมอ เพื่อมิให้พ่ายแพ้ต่อผีปีศาจ หรือให้ความชั่วร้ายมีอำนาจเหนือจิตใจของเรา
…คุณพ่อปลัด…