ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ 11: 25-30…ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด…จงรับแอกของเราแบกไว้…เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา…เพราะเรามีใจอ่อนโยนและสุภาพ…
ในช่วงชีวิตของเรามนุษย์ไม่มากก็น้อยที่เราแต่ละคนจะต้องพบกับความเหน็ดเหนื่อยกับภาระต่างๆที่เราจะต้องแบกในชีวิตประจำวัน…แต่พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนพวกเราให้นำเอาภาระหนักต่างๆเหล่านั้น มาไว้กับพระองค์ แล้วพระองค์จะทรงทำให้ภาระนั้น อ่อนนุ่มและเบา และจะให้เราได้พักผ่อน…ให้เราได้พร้อมใจกันมาหาพระองค์ตามคำเชื้อเชิญนั้น
ข้อคิด…“จงมาพบเราเถิด ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก เราจะไห้ท่านได้พักผ่อน” เป็นพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่น่ารักที่สุดพระวาจาหนึ่งในพระวรสาร
การใช้ชีวิตอาจจะเป็นภาระที่หนักเอามากๆสำหรับคนหลายๆคน เพราะมีภาระสารพัดชนิดที่จะต้องแบก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความห่วงกังวล ความรับผิดชอบ ความผิดหวัง การโดนทำร้าย ความขมขื่น ความรู้สึกผิดชอบ ความป่วยไข้ การไม่มีงานทำ ความสัมพันธ์กับเพื่อนพี่น้อง ฯลฯ
ทุกวันนี้ คนที่ใช้แรงงานก็ได้รับค่าจ้างที่ต่ำมากๆ ทั้งไม่ได้รับการยอมรับในฐานะที่มนุษย์–บุคคล คุณค่าของพวกเขาอยู่ที่ผลงานและจะถูกพิจารณาอย่างเข้มงวดเมื่อเขาขาดงานไม่มาทำงาน
เป็นที่น่าสังเกตุว่าการแสดงความชื่นชมและคำพูดที่อ่อนหวานและยอมรับคุณค่าของผู้อื่น สามารถช่วยให้ภาระที่หนัก เบาขึ้นได้…และโลกจะน่าอยู่มากขึ้น เมื่อคนเราจะได้รับการยอมรับและได้รับการปฏิบัติด้วยความเอื้ออาทรและด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วยกัน
พวกคัมภีราจารย์และชาวฟาริสี มีสถานะทางสังคมดีกว่าคนอื่นๆ แต่พวกเขาไม่รู้จักว่าชีวิตนั้นเป็นเหมือนกับอะไรสำหรับคนทั่วๆไป พวกเขามีแต่เน้นย้ำที่การถือธรรมบัญญัติอย่างเคร่งครัดและการเพิ่มกฎระเบียบให้มากขึ้น พวกเขาได้ใส่ภาระที่แสนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ให้กับประชาชน พวกเขามีความเข้าอกเข้าใจแต่เพียงเล็กน้อยต่อคนที่พบว่าภาระต่างๆเหล่านั้นมากเกินไปที่จะแบกกันไหว
ในห้วงเวลาที่พระเยซูเจ้าทรงมีชีวิตอยู่ที่เมืองนาซาแร็ธ พระองค์ได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกคนธรรมดาสามัญ พระองค์ทรงมีชีวิตแบบคนที่ใช้แรงงานทั่วๆไป พระองค์ทรงคุ้นเคยกับการดิ้นรนต่อสู้ กับความยากลำบากและความผิดหวังต่างๆที่ชาวบ้านธรรมดาๆต้องสู้ทน พระองค์ทรงมีจิตสำนึกถึงภาระอันแสนหนักต่างๆที่ชีวิตของพวกเขาต้องแบก
ที่สุด พระองค์ทรงตระหนักดีว่าชาวบ้านทั่วๆไป ต้องการให้ภาระที่พวกเขากำลังแบกอยู่นั้น ได้เบาบางลงบ้าง พวกเขาได้มาหาพระองค์จากทั่วทุกสารทิศพร้อมกับภาระของความเจ็บไข้ได้ป่วยและของความยากจนน่าสงสาร พวเขาแทบทุกคนก็ได้พบว่าภาระต่างๆของตนที่กำลังแบกอยู่นั้น ได้ถูกทำให้เบาบางลงหลังจากที่ได้พบกับพระองค์ ได้ฟังพระวาจาของพระองค์…เพียงแต่การได้แลเห็นพระเยซูเจ้าและการได้ฟังพระวาจาของพระองค์ ก็สามารถนำสันติสุขมาสู่จิตวิญญาณของผู้ที่กำลังเป็นทุกข์ได้
พระเยซูเจ้าได้ทรงกล่าวว่า “แอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบก ก็เบา” ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรกัน พระองค์ที่แบกภาระของคนอื่นๆ กล้าพูดเช่นนี้? ที่เป็นเช่นนี้ได้ ก็เพราะว่าพระองค์ได้ทรงแบกภาระของพระองค์และของคนอื่นด้วยความรัก…เฉพาะความรักเท่านั้นที่สามารถทำให้ภาระที่ต้องแบกนั้นเบาลง…คนที่ไม่มีอาหารกินเป็นเวลา 1 วัน ก็พอที่จะทนได้จนถึงสิ้นวัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นแม่ที่ยอมอดอาหาร 1 วัน เพื่อให้ลูกของตัวเองได้มีอาหารกิน ก็แทบไม่รู้สึกอะไรเลยเพราะความรักลูก แต่กลับมีความสุขใจ
ศาสนาไม่ควรที่จะทำให้ชีวิตของศาสนิกชนซึ่งต้องมีภาระที่จะต้องแบกอยู่แล้วเป็นประจำวัน ให้มีภาระมากขึ้นและหนักขึ้น ถ้าหากพระเยซูเจ้าทรงต้องการเอาภาระมาให้เราแบก ภาระที่ว่านี้ ก็มิใช่อะไรอื่นนอกจากให้เรารักกันและกัน และถ้าหากเรามีความรัก นั่นก็จะมิใช่เป็นภาระเลย แต่เป็นความสุขใจ พระเยซูเจ้ามิได้เอาภาระออกไปจากตัวเรา แต่พระองค์จะให้เรามีพละกำลังและมีความสุขใจที่จะแบกภาระนั้นด้วยความรัก
ขณะที่ความเชื่อทำให้สิ่งต่างๆเป็นไปได้ ความรักก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายขึ้น
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์