สวัสดีครับพี่น้องที่รัก พบกันอีกครั้งในคอลัมน์ “คิดสักนิด..สะกิดใจ” ในอาทิตย์ที่ 12 ของเทศกาลธรรมดา พระวาจาของพระเป็นเจ้าสำหรับอาทิตย์นี้ เป็นพระวาจาที่ต่อเนื่องมาจากพระวรสารตอน “พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวกสิบสองคน” ออกไปประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร และรักษาคนเจ็บไข้ ซึ่งพระองค์ทรงสั่งให้บรรดาอัครสาวกให้ออกไปประกาศข่าวดีแก่ชนชาติอิสราเอลก่อนคนต่างชาติ โดยทรงกำชับไว้ว่า “เมื่อเดินทางก็อย่าพกเงิน หรือย่ามติดตัว แต่ให้พร้อมที่จะถูกเบียดเบียน” และที่สำคัญก็คือ “จงอย่ากลัว” เพราะพระองค์ทรงทราบดีว่า พวกเขาจะต้องพบกับการไม่ยอมรับและการต่อต้าน พระองค์จึงทรงให้กำลังใจพวกเขาว่า “อย่ากลัว…ทุกคนที่รับรู้เราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะรับรู้ผู้นั้นต่อหน้าพระบิดาเจ้าสวรรค์ของเรา (มธ.10:26-33)
พี่น้องครับ สิ่งที่เราได้เห็นได้อย่างชัดเจนในพระวรสารตอนนี้ คือ พระเยซูเจ้าทรงให้กำลังใจ และตรัสถึง “ความกลัว” ถึงสามครั้งในพระวรสารวันนี้ (มธ.10:26,28,31) และทั้ง 3 ครั้งที่พระองค์ทรงพูดถึง พระองค์ย้ำกับบรรดาศิษย์ของพระองค์เสมอว่า “อย่ากลัวเลย” คำถามที่น่าใจสำหรับข้อคิดในอาทิตย์นี้จึงอยู่ที่ว่า “อะไรสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการจะเน้นย้ำกับเราเป็นพิเศษ และอะไรเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่แท้จริงสำหรับเรามนุษย์”
พ่อได้มีโอกาสไปลองค้นหา คำว่า “ความกลัวของมนุษย์” ในอินเตอร์เน็ต แล้วพบว่า แท้จริงนั้นมนุษย์นั้น มีความกลัวมากมายหลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ซึ่งหากจะเรียงลำดับจากน้อยไปมากแล้วจะเริ่มต้นจาก กลัวสูญเสียอิสรภาพ กลัวความไม่รู้หรือสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ กลัวความเจ็บปวด กลัวความทุกข์ยากหรือขัดสน กลัวความโดดเดี่ยว กลัวถูกเย้ยหยัน กลัวการถูกปฎิเสธ กลัวความตาย และกลัวความล้มเหลว (ที่มา : เว๊บไซด์ คอลัมน์ indepencil.com) ดังนั้น การกลัว “ความล้มเหลว” จึงดูเหมือนเป็นสิ่งที่น่ากล้วสำหรับมนุษย์ที่แท้จริง ซึ่งทำให้พ่อรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยว่า ทำไมถึงไม่เป็น “การกลัวความตาย” แต่ก็อาจเป็นไปได้ที่ว่า แม้การกลัวตายจะเป็นสัญชาตแห่งความอยู่รอดของมนุษย์ แต่ลึกๆ แล้วมนุษย์ก็เคารพและยอมรับมันว่า ความตายนั้นเป็นธรรมชาติที่เรามนุษย์นั้นไม่สามารถเอาชนะมันได้ แต่การกลัว “ความล้มเหลว” ซึ่งตรงกันข้ามกับความสำเร็จนั้น คือ ความรู้สึกถึงคุณค่าในตนเองที่มนุษย์ให้ความสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ ค่านิยมทางโลกจึงสอนให้เราโดยเน้นถึง คุณค่าของตนเอง ด้วยการแข่งขัน และมุ่งแสวงความสำเร็จในตำแหน่ง ชื่อเสียง และเงินทอง เพราะนี่คือ สิ่งที่วัดค่าของคนและความสำเร็จในชีวิต แต่สำหรับเราคริสตชน พระเยซูเจ้ากับสอนในทางตรงกันข้าม ทรงสอนให้เรารู้จัก ลืมตนเอง และเป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าด้วยชีวิตของเรา ความสำเร็จของเราคริสตชนจึงอยู่ที่ “การได้ไปสวรรค์ และมีชีวิตนิรันดรกับพระเจ้า” ดังที่พระเยซูเจ้าเคยตรัสไว้ว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา เพราะผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้นก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเราก็จะพบชีวิตนิรันดร”(มธ.16:24-25) และพระองค์ยังย้ำเป็นพิเศษในพระวรสารวันนี้ว่า “จงอย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก” และผู้ที่จะทำเช่นนั้นได้ก็คือ “พระเจ้า” เท่านั้น
ดังนั้น พี่น้องครับเราคริสตชนจึงต้องไม่ดำเนินชีวิตด้วยความกลัวเหมือนกับคนในสังคมปัจจุบัน แต่เราต้องกลัวที่จะสูญเสียวิญญาณ และต้องพยายามดำเนินชีวิตเพื่อคริสตเจ้าด้วยการลืมตนเอง และเป็นพยานถึงพระองค์เหมือนกับบรรดามรณสักขีทั้งหลาย ซึ่งแน่นอน สำหรับการเป็นมรณสักขีในยุคปัจจุบันนี้ อาจมิใช่การหลั่งโลหิตเสมอไปแล้ว แต่หมายถึง การดำเนินชิวิตประจำวันด้วยการเป็นคริสตชนที่ดี รักษาความเชื่อ ซื่อสัตย์และรับผิดชอบ กล้าเผชิญกับการทดลองเราอาจต้องยอมลำบากบ้าง เสียสละหรือสูญเสียบางอย่างบ้างและรับใช้พระเจ้าและผู้อื่นบ้างโดยมิได้สนใจแต่รับใช้ตนเองเท่านั้น เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คือ การดำเนินชีวิตด้วยความจริง และการเป็นพยานถึงพระเยซูคริสตเจ้าอย่างแท้จริง
…คุณพ่อปลัด…