ข้อคิดวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ ปี A
มธ 28: 16-20…พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้พระเยซูเจ้า…และพระองค์จะอยู่กับเราทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ…
การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าเป็นสุดยอดแห่งชัยชนะของพระองค์เหนือบาปและความตาย เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีและเป็นวันแห่งความหวัง…พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้เราได้มีส่วนร่วมในชัยชนะของพระองค์ แม้นว่าพระองค์ได้ทรงละจากพวกเราไปสู่สวรรค์แล้ว แต่พระองค์ก็ยังอยู่กับพวกเราผ่านทางพระจิตของพระองค์ซึ่งคอยช่วยเหลือพวกเราที่ยังใช้ชีวิตบนโลกใบนี้และกำลังเดินหนทางแห่งชีวิตมุ่งหน้าไปสู่พระอาณาจักรสวรรค์
ข้อคิด…การเสด็จกลับคืนพระชนมชีพ การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าและการส่งพระจิตมายังบรรดาอัครสาวก เป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อันเดียวกันแห่ง “ธรรมล้ำลึกปัสกา” และในธรรมล้ำลึกอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ซึ่งอยู่นอกเหนือกาลเวลาและพื้นที่ของโลกเรามนุษย์…คือพระเยซูเจ้าทรงออกจากพระคูหา กลับไปหาพระบิดาเจ้าและประทานพระจิตมายังบรรดาอัครสาวก
อย่างไรก็ตามจากทัศนะของบรรดาศิษย์รุ่นแรกๆซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในห้วงของเวลาของโลกใบนี้…พฤติกรรมทั้ง 3 อย่างที่ว่านั้น ได้รับการบรรยายว่าได้เกิดขึ้นในห้วงเวลาที่แตกต่างกันออกไป คือศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้พบพระคูหาว่างเปล่าตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ และต่อมาในวันเดียวกันนั้นเอง พระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพได้ทรงประจักษ์ให้พวกเขาได้แลเห็นและทรงอยู่กับพวกเขาอีกสี่สิบวันแล้วก็เสด็จสู่สวรรค์…และหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับพระจิต ในวันที่ห้าสิบ (กจ 1: 1-11, 2: 1-13)…(แตกต่างไปจากพระวรสารของนักบุญยอห์นซึ่งได้กล่าวอย่างมีนัยยะว่าเหตุการณ์ทั้งสามได้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน คือในวันอาทิตย์ปัสกา…ใน ยน 16: 7 “เพราะถ้าเราไม่ไป พระผู้ช่วยเหลือก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน” และ ยน 20: 19, 22 “ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์…ตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า ‘จงรับพระจิตเจ้าเถิด’ ”)…การสิ้นสุดของการปรากฎองค์ของพระเยซูเจ้าได้ทำให้พวกเขาตระหนักว่าพระเยซูเจ้า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พระองค์จะไม่ทรงอยู่กับพวกเขาอย่างมีตัวตนจับต้องได้ แต่พวกเขาจะมีพระจิตเจ้าอยู่กับพวกเขาแทนองค์พระเยซูเจ้า พระอาจารย์
ความหมายเชิงเทววิทยาของวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ในวันนี้ จะปรากฎอยู่ในบทอ่านที่ 2 “พระเจ้าทรงประทานพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระเยซูเจ้า โดยทรงแต่งตั้งพระองค์ไว้เหนืออำนาจทั้งหลายและสิ่งสร้างทั้งปวงบนโลกใบนี้ และให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักรซึ่งเป็นพระวรกายของพระองค์” (ดู อฟ 1: 20-23)
ส่วนในบทอ่านที่ 1 และพระวรสารนั้น พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายพันธกิจให้กับพวกอัครสาวก พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญาแก่บรรดาศิษย์ของพระองค์ด้วย
นักบุญลูกาได้นำเสนอสิ่งที่ได้บังเกิดขึ้นแก่สายตาของบรรดาผู้ที่จะเป็นประจักษ์พยานให้กับเรื่องราวของการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม เราต้องไม่ยึดถือเรื่องเล่านี้แบบตามตัวอักษร เพราะการเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าเป็นธรรมล้ำลึกซึ่งอยู่เหนือคำบรรยายทั้งหลายทั้งปวง แต่ถึงกระนั้นก็ดี สิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับพระเยซูเจ้านั้น ก็เป็นอะไรที่เป็นจริงด้วย
ในระหว่างห้วงเวลาแห่งภารกิจสาธารณะ พระเยซูเจ้าได้ทรงกินและดื่มกับพวกอัครสาวกและศิษย์ของพระองค์ พวกเขาได้มีประสบการณ์ถึงความรักและความใส่ใจของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาไม่เว้นแต่ละวัน จนทำให้มีความรู้สึกว่าพระองค์ได้กลายเป็นบุคคลหนึ่งในกลุ่มพวกอัครสาวกเลยทีเดียว
การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าหมายถึงว่าพระองค์ทรงจากพวกเขาไป พร้อมทั้งความสนิทสนมเป็นกันเองคล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกันนั้นได้สิ้นสุดลงเลยหรืออย่างไร?
คำตอบก็คือ ทั้ง “ใช่” และ “ไม่ใช่”
พระเยซูเจ้าจะไม่ทรงปรากฏองค์แบบที่เห็นเป็นตัวตนสัมผัสได้อย่างที่พวกเขาเคยเห็นเคยสัมผัส แก่พวกอัครสาวกอีกต่อไป แต่พระองค์ก็มิได้ทรงจากพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง…แต่นี้ไป พระองค์ทรงมีบทบาทใหม่ คือหลังจากการดิ้นรนต่อสู้กับชีวิตเป็นเวลาหลายปีบนโลกใบนี้แล้ว พระเยซูเจ้าก็ได้รับการสวมมงกุฎด้วยเกียรติอันรุ่งโรจน์จากพระบิดาเจ้าสวรรค์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงกลายเป็นเจ้านายแห่งสิ่งสร้างทั้งหลายทั้งปวง (บทอ่านที่ 2)…สำหรับผู้มีความเชื่อศรัทธาในพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขามากกว่าที่เคยเสียอีก ทั้งยังทรงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่จะช่วยเหลือพวกเขาได้มากกว่าแต่ก่อนด้วยซ้ำไปอีกด้วย
พระวรสารได้ลงท้ายด้วยคำมั่นสัญญาของพระเยซูเจ้าที่ว่าพระองค์จะทรงอยู่กับบรรดาศิษย์ของพระองค์จนกระทั่งถึงวันสิ้นโลก การเสด็จสู่สวรรค์ของพระเยซูเจ้าเป็นการปลดปล่อยพระองค์เองให้พ้นจากข้อจำกัดทั้งหลายทั้งปวงของกาลเวลาและสถานที่ ซึ่งก็คงมิใช่เป็นการถอดถอนพระองค์ให้ออกจากโลกใบนี้ไปเลยเสียทีเดียว แต่พระองค์ยังคงอยู่กับบรรดาศิษย์ของพระองค์ต่อไปจนถึงวันสิ้นพิภพ
ในห้วงเวลาที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ โดยปรกติแล้ว พระองค์สามารถปรากฏองค์เฉพาะในสถานที่เดียวในเวลานั้นๆเท่านั้น เช่นถ้าหากพระองค์ทรงอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ก็จะไม่ไปปรากฏตัวที่เมืองคาเปอร์นาอุม ดังนี้เป็นต้น และในทางกลับกันก็เช่นกัน แต่ว่าในขณะนี้ พระองค์ได้ทรงกลับไปร่วมชิดสนิทกับพระบิดาเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงสถิตอยู่ในทุกหนทุกแห่งที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ นั่นก็คือพระองค์ทรงสถิตอยู่ในทุกหนทุกแห่งและในทุกเวลานั่นเอง
บรรดาอัครสาวกและคริสตชนรุ่นแรกๆเข้าใจในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี พวกเขารู้ดีว่าพระเยซูเจ้ายังทรงอยู่กับพวกเขา แม้ว่าจะมิใช่ด้วยวิธีการอันเดียวกันกับเมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตและกินอยู่กับพวกเขา…พวกเขาเชื่อว่าพระองค์ยังคงแบ่งปันชีวิตกับพวกเขาอยู่ และเชื่อว่าการออกจากโลกนี้ไปของพวกเขาคงจะต้องหมายถึงการไปร่วมชิดสนิทกับพระองค์ในพระเกียรติมงคลตลอดไปนั่นเอง แต่ว่าหลังจากที่พระองค์ทรงมอบความไว้วางใจให้กับพวกเขาที่จะสานต่อพันธกิจของพระองค์บนโลกใบนี้ต่อไป…ก็จะเป็นพวกเรานั่นเองที่จะต้องสานต่องานเดียวกันนี้ ที่จะประกาศพระวรสารและเจริญชีวิตพระวรสารนั้นจวบจนสิ้นโลก
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์