ข้อคิดอาทิตย์ที่ 5 เทศกาลปัสกา ปี A
ยน 14: 1-12…ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำนักมากมาย…เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน…เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย…และเราเป็นหนทาง ความจริงและชีวิต…
เรามนุษย์ทุกคนต้องการมีที่อยู่อาศัย มีบ้านที่เป็นของตัวเอง พระเยซูเจ้าได้ทรงให้ความมั่นใจและให้ความหวังแก่พวกเราว่าในที่สุดเราแต่ละคนก็จะมีบ้านแท้ที่เรากำลังมุ่งไปสู่อยู่ในขณะนี้…เป็นบ้านของพระบิดาเจ้าสวรรค์ซึ่งพระองค์ได้ทรงสัญญากับเราว่าพระองค์ไปเตรียมที่ให้เราในบ้านนั้น
ข้อคิด…พวกเราทุกคน เมื่อโตขึ้น เมื่อมีครอบครัว ต่างก็อยากจะมีบ้าน มีที่อยู่อาศัยที่เป็นของตนเอง พระเยซูเจ้าได้สร้างความมั่นใจในเรื่องนี้ให้กับพวกเรา โดยบอกว่า “เมื่อเราไปและเตรียมที่ให้ท่านแล้ว เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย” สถานที่ดังกล่าวนี้ ก็คือบ้านของพระบิดาเจ้าสวรรค์นั่นเอง
คงไม่มีใครที่จะกล้าปฏิเสธความสำคัญของบ้าน มีผู้จัดการเรือนจำผู้หนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณให้ผู้ถูกคุมขังมิสิทธิที่จะเลือกเอาระหว่างให้กลับไปบ้านและการพักอยู่ในที่คุมขังซึ่งมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมทุกอย่าง เกือบทุกคนก็คงจะเลือกเอาการกลับไปอยู่ที่บ้านดีกว่า”
เมื่ออะไรต่างๆมิได้เป็นไปตามที่เราคาดหวังเอาไว้ เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้าและถูกโดดเดี่ยว เราก็ยังมีบ้านที่เราอยากจะกลับไปอยู่…“ให้เรากลับบ้านกันเถอะ”… “ฉันอยากจะกลับบ้าน” ฯลฯ นี่เป็นคำพูดที่เรามักจะพูดกับตัวเองและได้ยินอยู่เสมอๆ นอกจากนั้นมีไม่รู้กี่ครั้งและในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันออกไป เรามักจะได้ยินผู้คนที่กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นออกมา หรืออาจจะเป็นตัวเราด้วยซ้ำไป…เพราะบ้านเป็นสถานที่เรารู้สึกว่าปลอดภัย…บ้านเป็นสถานที่ของการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขของคนใกล้ชิด
เมื่อเรารู้ว่าเรากำลังจะกลับบ้าน เราก็จะไม่รู้สึกว่าหนทางมันไกล หรือว่ายากลำบากเกินไป…บางครั้งเราจะต้องออกไปผจญภัยในโลกกว้างบ้าง เพื่อจะได้รู้ว่าบ้านของเราช่างน่าอยู่เสียจริงๆ ให้เราลองวาดภาพดูง่ายๆว่าเราจะรู้สึกเช่นไร เมื่อเราไม่มีที่ที่จะไปหรือไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนดี และเรามักจะได้ยินคำพูดนนี้บ่อยๆว่า “กลับบ้านดีกว่า”
การมี “บ้าน” (Home) ไม่เหมือนกับการมี “ที่อยู่” หรือ “ที่พักอาศัย” (House)
บ้าน (Home) เป็นสถานที่ที่เรามีความสัมพันธ์กับคนอื่นซึ่งยอมรับในตัวเราและในสิ่งที่เราเป็น และทำให้เรารู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของ “บ้าน”…แต่ว่าอย่างไรก็ตาม บนโลกใบนี้ เราไม่มี “บ้าน” ที่ถาวร ดังเช่นที่นักบุญเปาโลบอกกับพวกเราว่าบนโลกใบนี้เป็นเพียงแต่เพิงพักชนิดชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เวลาที่เราตาย เพิงพักที่ว่านี้ก็จะถูกม้วนเก็บไป
ดังนั้น มิใช่บนโลกใบนี้เท่านั้นที่เราต้องการมี “บ้าน” เรายังมีความต้องการ “บ้าน” อีกหลังหนึ่ง…เมื่อความตายจะรูดม่านปิดฉากชีวิตของเรามนุษย์แต่ละคน ถ้าหากว่าไม่มี “บ้าน” ที่สองและที่พักพิงอย่างถาวรนี้ ชีวิตของเราแต่ละคน ก็คงไม่แตกต่างไปจากการเดินทางแห่งชีวิตแบบไร้จุดหมายนั่นเอง คือไม่มีที่ให้ไปนั่นเอง
ระหว่างการรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย…พระเยซูเจ้าได้ทรงเริ่มคุยกับพวกอัครสาวกว่าพระองค์กำลังจะละจากพวกเขาไป เมื่อได้ยินเช่นนี้ พวกสาวกก็ออกอาการเศร้าสลดและหดหู่ใจอย่างบอกไม่ถูก แต่พระองค์ก็ได้ทรงปลอบโยนพวกเขาด้วยถ้อยคำที่กินใจเหล่านี้ว่า “ในบ้านพระบิดาของเรา มีที่พำนักมากมาย…เรากำลังไปเตรียมที่ให้ท่าน…เราจะกลับมารับท่านไปอยู่กับเราด้วย เพื่อว่าเราอยู่ที่ใด ท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย” นี่ย่อมหมายความว่าเรามีบ้านที่ถาวรและที่เป็นนิรันดร์ซี่งเรากำลังมุ่งหน้าไป นั่นก็คือบ้านของพระบิดาเจ้านั่นเอง
สำหรับพวกเด็กๆ บ้านเปรียบเสมือนเป็นความสัมพันธ์แห่งความรักและความเป็นกันเองระหว่างพ่อแม่กับลูกๆ…ในบ้านเด็กๆสามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างอิสระเสรีและอย่างรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าของบ้านตราบเท่าที่มีพ่อแม่อยู่ด้วย สำหรับผู้ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า ก็จะมีความรู้สึกเช่นเดียวกันตั้งแต่การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
เราใช้ชีวิตของเราในการแสวงหาพระเจ้าด้วยการดำเนินชีวิตมุ่งสู่พระองค์ ความตายก็คือการได้ไปพบกับพระเจ้าและการได้แลเห็นพระเจ้า
ความตายซึ่งเป็นการไปหาพระเจ้า…ก็คือการกลับไปสู่บ้านเกิดเมืองนอนถาวรของเราอันหมายถึง “สวรรค์” นั่นเอง
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์