ข้อคิดอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลปัสกา ปี A
ยน 10: 1-10…เราคือผู้เลี้ยงแกะที่ดี…เรามาเพื่อให้ท่านมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์…
วันอาทิตย์ที่สี่ในเทศกาลปัสกา เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็น “วันอาทิตย์ผู้เลี้ยงแกะที่ดี”…พระคริสตเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดีของพวกเรา ให้เราได้ทำการไตร่ตรองบ่อยๆถึงความรักอันมิรู้เสื่อมคลายของพระองค์ที่ทรงมีต่อเราแต่ละคน และถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่อยากให้เราได้มีความรักต่อกันและกันอย่างต่อเนื่อง
ข้อคิด…บ่อยๆเราคงจะเคยเห็นคนที่ชอบจูงสัตว์เลี้ยงไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ไปไหนมาไหน หรือบางครั้งก็อุ้มสัตว์เลี้ยงนั้นถ้าตัวเล็กหน่อยพอที่จะอุ้มได้ มองดูแล้วก็มีความสุขดี…เช่นเดียวกัน เราก็คงจะเคยได้เห็นภาพของพระเยซูเจ้าที่อุ้มลูกแกะหรือเอามันขึ้นใส่ไว้บนบ่า ช่างเป็นภาพที่น่ารักมากๆ
คนเลี้ยงแกะที่ดีคือคนที่ใส่ใจเลี้ยงฝูงแกะ ยิ่งถ้าหากเป็นเจ้าของฝูงแกะเหล่านั้นด้วย ก็ยิ่งจะรักและใส่ใจมากยิ่งขึ้น…พระเยซูเจ้า พระผู้เลี้ยงแกะที่ดี ก็ใส่ใจในแกะของพระองค์ซึ่งเป็นพวกเราคริสตชน และพระองค์ทรงถือว่าแกะเหล่าเป็นของพระองค์เอง…ดังนั้นในวันอาทิตย์ที่สี่ในเทศกาลปัสกา จึงเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นวันอาทิตย์ผู้เลี้ยงแกะที่ดีหรือวันอาทิตย์นายชุมพาบาลที่ดี…ด้วยพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า “เรามาเพื่อให้แกะมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์”…พระองค์กำลังพูดถึงเฉพาะชีวิตหน้าหรือชีวิตนิรันดรเท่านั้นหรือ? หรือว่ากำลังพูดถึงความสมบูรณ์ของชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย?…พระองค์ก็คงพูดถึงชีวิตทั้งสองอย่างไปพร้อมๆกันนั่นแหละ
มีนิทานเรื่องหนึ่งที่เล่ากันสนุกๆพาดพิงถึงเรื่องที่ว่านี้ว่ามีผู้คนที่หลังจากจบชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว และกำลังจะเข้าประตูสวรรค์ซึ่งมีนักบุญเปโตรเป็นผู้เฝ้าประตูสวรรค์อยู่ นักบุญเปโตรก็ได้ตั้งคำถามแปลกๆคำถามหนึ่งกับทีละคนว่า “บอกผมมาซิว่าคุณได้ฉวยโอกาสที่จะทำให้ตนเองเป็นสุขและมีความชื่นชมยินดีกับชีวิตบนโลกใบนี้มากน้อยแค่ไหน ในขณะที่คุณยังมีชีวิตอยู่?”
ถ้ามีใครคนหนึ่งตอบว่า “ผมไม่ได้ฉวยโอกาสอันนั้นไว้” นักบุญเปโตรก็จะสั่นหัวอย่างไม่สู้จะพอใจกับคำตอบนั้นเท่าใดนัก พลางบอกว่า “โธ่เอ๋ย เพื่อนรัก ผมยังจะไม่ยอมให้คุณเข้าเมืองสวรรค์จนกว่าคุณจะมีความพร้อมและมีประสบการณ์แห่งความสุขและความชื่นชมยินดีกับสิ่งของและโอกาสต่างๆที่พระเจ้าได้ทรงประทานมาให้กับคุณขณะที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เสียก่อน ผมจึงมีความจำเป็นที่จะต้องส่งคุณกลับไปยังโลกใบนี้ใหม่ จนกว่าคุณจะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆและโอกาสต่างๆดังกล่าวได้ดีขึ้น”
ในอดีต ศาสนาคริสต์มุ่งที่จะเป็นศาสนาที่เคร่งครัดด้วยกฏระเบียบและข้อห้ามต่างๆ พวกเราหลายๆคนได้รับการอบรมสั่งสอนให้รู้จักสละทิ้งสิ่งของทรัพย์สินเงินทองและโอกาสต่างๆของโลกใบนี้ เพราะชีวิตปัจจุบันของเรามนุษย์ถูกมองว่าเป็นช่วงเวลาของการทดลอง เป็นทางผ่านไปสู่ชีวิตนิรันดร์ จึงไม่ควรจริงจังกับชีวิตบนโลกนี้ ชีวิตจิตแบบนี้ทำให้ชีวิตบนโลกนี้ของเราต้องถอยออกห่างจากการที่จะมีความชื่นชมยินดีในการใช้ชีวิตอย่างเป็นสุข ในทุกวันนี้…เราคริสตชนมีความเข้าใจที่ดีอย่างถูกต้องมากขึ้นว่าการมีชีวิตอย่างสมบูรณ์พูนสุขมิได้หมายความให้แสวงหาแต่ความสนุกสุขสบายที่ผิดศีลธรรมและเลยเถิดตามประสาชาวโลก แต่ความสุขบนโลกใบนี้ซึ่งเราอยากจะมีอยากจะได้นั้น ต้องเป็นความสุขที่ไม่ทำร้ายหรือทำลายคนอื่นและตัวเราเอง
ชีวิตของเรามนุษย์บนโลกนี้ เป็นพระพรของพระเจ้าที่เปราะบางและแตกง่าย…เวลาแต่ละนาทีก็เป็นเวลาพิเศษแห่งพระพรของพระ เราจึงต้องให้ความสนใจกับชีวิตนี้เป็นพิเศษสิ่งซึ่งเรากำลังมีประสบการณ์อยู่ในขณะนี้ เราต้องไม่ลืมว่าเวลาทุกๆขณะก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับกระแสน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลมหาสมุทร…การผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วของวันเวลา หลายๆครั้งมักทำให้ชีวิตเจ็บปวด เพราะมันไม่สามารถหวนกลับมาได้อีก แต่ก็ทำให้ชีวิตนั้นมีคุณค่ามากยิ่งขึ้นด้วยประสบการณ์ ดังนั้นเราจึงต้องใส่ใจกับมันเป็นพิเศษ เพราะว่าเราไม่สามารถมีความสุขมีความชื่นชมยินดีกับโลกใบนี้ได้ตลอดไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แต่ว่ามีได้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เพราะชีวิตของมนุษย์เราเปรียบเสมือนการอบอุ่นตัวเราในแสงอาทิตย์ในช่วงเวลาสั้นๆขณะที่แสงแดดกำลังให้ความอบอุ่นที่พอดีๆแก่ร่างกายของเรา
พระผู้เป็นเจ้า พระผู้เลี้ยงแกะที่ดี ทรงต้องการให้เราได้มีชีวิตและได้มีชีวิตอย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น เราจงอย่างได้ขี้ขลาดและหวาดกลัวที่จะเจริญชีวิตสิ่งใดๆก็ตามที่พระเจ้าทรงหยิบยื่นให้กับเราในชีวิตปัจจุบันของเรา เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพระพรจากพระเจ้า ชีวิตเป็นอะไรที่ใจกว้างพอสำหรับผู้ที่รู้จักยึดจับมันด้วยมือทั้งสองข้างและด้วยจิตใจที่รู้คุณพระเจ้า
เฉพาะการที่เรามีตัวตนอยู่นั้น ย่อมไม่เพียงพอ “สิ่งที่ทุกคนเสาะหา มิใช่ความหมายในชีวิต แต่เป็นประสบการณ์ของการมีชีวิตอยู่และเป็นความปลื้มปีติของการใช้ชีวิตของเราบนโลกใบนี้”…เป็นข้อเท็จจริงอันเป็นที่ยอมรับว่าผู้ที่ได้เจริญชีวิตอย่างสมบูรณ์และอย่างเข้มข้นบนโลกใบนี้นั้น จะรู้สึกว่าตนเองมิได้ถูกหลอกลวงเมื่อความตายมาถึงตัว เพราะเป็นการข้ามผ่านจากช่วงเวลาที่จำกัดไปสู่นิรันดรภาพ เป็นความสุขที่ต่อเนื่อง
พระเยซูเจ้าได้ทรงเริ่มพระภารกิจของพระองค์ด้วยถ้อยคำนี้ว่า “จงเชื่อในข่าวดี”…และอะไรคือข่าวดีที่ว่านี้?…ข่าวดีที่ว่านี้ก็คือ “เรามาเพื่อให้ท่านมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” ทั้งบนโลกใบนี้และในโลกหน้าด้วย
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์