ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ 22: 34–40 …ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน…และท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง…
พระวรสารของวันนี้เตือนเราให้คิดถึงพระบัญญัติเอกสองประการ คือ “รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์” และในพระบัญญัติเอกสองประการนี้ ก็ซ่อนไว้ซึ่งคำสอนทั้งหมดของพระคัมภีร์ ข้อบกพร่องอันสำคัญของเราคริสตชน ก็คือข้อบกพร่องในเรื่องของความรัก
ข้อคิด…คริสตชนคาทอลิกหลายๆคนคงอยากจะตั้งคำถามว่า ”เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องออกห่างจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเพื่อที่จะพบพระเจ้าหรืออย่างไร?”…หรือว่ามี “ผู้ที่ได้พบพระเจ้าแล้ว ยังสามารถกลับไปหาเพื่อนพี่น้องและเจริญชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างมีความสุข มีความสนใจเอาใจใส่พวกเขาและทำงานพร้อมๆกับพวกเขาและเพื่อพวกเขาหรือเปล่า?” …หรือพูดง่ายๆก็คือว่า “ความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนพี่น้องสามารถไปด้วยกันได้หรือไม่?” หรือว่าถ้า “มีความรักต่อพระเจ้าแล้ว ก็จะรักเพื่อนพี่น้องไม่ได้?”…
เรามนุษย์ทุกคนต่างก็ชอบการได้สิ่งต่างๆตามที่ต้องการและชอบความสดวกสบายด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการที่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติ หรือความเป็นเจ้าของคนที่เรารัก หรือความเป็นเจ้าของสถานที่ที่เราชอบ ฯลฯ ส่วนโลกที่เราไม่คุ้นเคยนั้น ก็อาจจะกลายเป็นโลกของคนแปลกหน้าและสิ่งแปลกปลอม โลกของคนที่เราไม่รู้จักนั้น อาจจะขึ้นอยู่กับความชอบหรือความไม่ชอบและความมีอคติของเราด้วย หรือพูดง่ายๆก็คือว่าคนแปลกหน้าที่ว่านี้ “พวกเขาก็จะไม่ใช่เป็นคนหนึ่งแต่ในพวกของเรา”
ในบทอ่านที่หนึ่งจากหนังสืออพยพ เราได้ยินว่าชนชาวอิสราแอลได้รับการคาดหวังว่าพวกเขาจะปฏิบัติตนต่อคนแปลกหน้าอย่างไร…“ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหรือรังแกคนต่างชาติ เพราะท่านทั้งหลายก็เป็นคนต่างชาติในแผ่นดินอียิปต์” …ชนชาวอิสราแอลได้เคยเป็นคนยากจนน่าสงสารและเป็นคนแปลกหน้ามาก่อน และพระเจ้าก็ได้แสดงความเมตตาสงสารต่อพวกเขา ดังนั้น พวกเขาก็ควรจะต้องมีความรักและความเมตตาสงสารต่อคนแปลกหน้าด้วยเหมือนกัน พวกเขาได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าว่า “เมื่อคนต่างด้าวอาศัยอยู่กับเจ้าในแผ่นดินของเจ้า อย่าข่มเหงเขา คนต่างด้าวที่อาศัยอยู่กับเจ้านั้น ก็เหมือนกับชาวเมืองของเจ้า เจ้าจงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง เพราะว่าเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์ เราคือพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของเจ้า” (ลนต 19: 33-34)
ชนชาวอิสราแอลได้รับพระบัญชา “ให้เรารักคนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้าเหมือนกับรักตัวเอง” เหตุผลที่สำคัญสำหรับพระบัญชานี้ ก็ได้มาจากประสบการณ์ของพวกเขาเอง พวกเขาจำเป็นต้องมองย้อนไปหาอดีตของพวกเขาและต้องจดจำใส่ใจอยู่บ่อยๆว่าเมื่อครั้งที่พวกเขาเป็นคนต่างด้าวนั้น พวกเขาอยากจะได้รับการปฏิบิตเช่นไร…การรักคนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้านั้น เป็นอะไรบางอย่างที่จะต้องได้รับการปฏิบัติ เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำต่อพวกเขามาก่อนนั่นเอง
“พระองค์ประทานความยุติธรรมแก่ลูกกำพร้าและแม่หม้าย และทรงรักคนต่างด้าว ประทานอาหารและเครื่องนุ่งห่มแก่เขา เพราะฉะนั้น ท่านจงมีความรักต่อคนต่างด้าว เพราะท่านทั้งหลายก็เป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์” (ฉธบ 10: 18-19)
คนต่างด้าวจะหมดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแปลกหน้า ก็ต่อเมื่อพวกเขาจะได้รับการต้อนรับอย่างเพื่อนฝูง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมการต้อนรับอย่างเพื่อนฝูงจึงถูกถือว่าเป็นคุณธรรมในระดับต้นๆประการหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องเร่ร่อนพเนจรอยู่เสมอๆ การต้อนรับอย่างเพื่อนฝูงจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของตัวพวกเขาเอง โดยปรกติแล้ว คนเดินทางมักจะผูกชีวิตของพวกเขากับการได้รับการต้อนรับอย่างเพื่อนฝูงของคนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้า…ดังนั้นคนต่างด้าว คนเดินทาง หรือทุกคนที่เดินทางเข้าไปในถิ่นของคนที่ไม่รู้จัก ก็สมควรที่จะได้รับการปฏิบัติเป็นกรณีพิเศษ
ในธรรมประเพณีของชนชาวอิสราแอล คำถามง่ายๆเพื่อที่จะรู้จักคนต่างด้าว ก็คือ…“คุณเป็นใคร?…มาจากไหน?…มาทำไม?”…แต่ก็ควรจะถามกันหลังจากที่ได้ให้การต้อนรับแล้ว คือเมื่อพวกเขาได้ชำระตัวอาบน้ำ พักผ่อนและทานอาหารอิ่มแล้วเท่านั้น ต่อเมื่อเขาจะได้รับประสบการณ์ของการต้อนรับอย่างเพื่อนฝูง และในบรรยากาศอย่างนี้ แขกแปลกหน้าจึงจะรู้สึกว่าปลอดภัยและมั่นใจที่จะเปิดเผยตัวเอง
ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงพูดถึงพลังแห่งความรักที่สามารถเอาชนะใจผู้อื่นได้ว่า “ท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” ในขณะที่ชนชาวอิสราแอลได้รับการร้องขอให้รักคนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้าเหมือนรักตนเอง ชนชาวคริสตชนซึ่งเป็นศิษย์ของพระเยซูคริสตเจ้า ก็ได้รับการร้องขอเช่นกัน ให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เพราะสิ่งที่เราให้กับเพื่อนพี่น้องด้วยการต้อนรับนั้น ก็เป็นการให้ความรักและการต้อนรับเพื่อนพี่น้องนั่นเอง
บ่อยๆครั้ง คนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้าที่แท้จริง ก็มิใช่คนที่เราไม่รู้จัก แต่ว่าเป็นคนที่เราไม่อยากรู้จัก คนที่เราไม่อยากรักเขา และคนๆนั้นอาจจะเป็นเพื่อนบ้านของเราหรืออาจจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวหรือในหมู่คณะของเรา ก็เป็นไปได้ เราอาจจะมีคนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้าในบ้านของเราเองที่ยังกำลังรอคอยการต้อนรับ รอคอยคำกล่าว “สวัสดี” และรอคอยความรักจากเรา เพราะถ้าหากเราปิดประตูหัวใจของเรา หลังประตูหัวใจนี้ ก็อาจจะมีคนที่กำลังอยากจะตายเพราะไม่มีใครไปเยี่ยมไปเหลียวแล
เราทุกคนมีความต้องการคนต่างด้าวหรือคนแปลกหน้าและเพื่อนพี่น้อง เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงคุณภาพของความรักของเราที่มีต่อเพื่อนพี่น้องของเราว่า…
“เรารักเพื่อนพี่น้องของเราเหมือนรักตนเองหรือเปล่า?“
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์