ข้อคิดอาทิตย์ที่ 6 เทศกาลธรรมดาปีA
มธ5: 17-37…เรามิได้มาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติแต่มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์…ผู้ที่ปฏิบัติธรรมบัญญัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์…
พระเยซูเจ้ายังได้ทรงตรัสเพิ่มเติมอีกว่า“ขณะที่ท่านกำลังนำเครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่นบูชาถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของท่านมีข้อบาดหมางกับท่านแล้วจงวางเครื่องบูชานั้นไว้หน้าพระแท่นกลับไปคืนดีกับพี่น้องเสียก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น”
ข้อคิด…การกระทำที่ไม่ดีไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคนและการทำผิดประเวณีย่อมเกิดขึ้นในความคิดและในหัวใจของมนุษย์ก่อนที่จะลงมือกระทำการและเป็นการผิดพระบัญญัติประการที่ห้าและที่หก…พระเยซูเจ้าได้ทรงให้ความหมายใหม่แก่พระบัญญัติประการที่ห้าใหม่ว่าจะต้องรวมไปถึงความรู้สึกโกรธและอารมณ์ที่ฉุนเฉียวด้วยเพราะอาจจะนำไปสู่การปลิดชีวิตของผู้อื่นได้…และพระองค์ยังได้ทรงให้ความหมายใหม่แก่พระบัญญัติประการที่หกอีกด้วยซึ่งจะต้องผนวกเอาความคิดอ่านและความปรารถนาที่ผิดศีลธรรมอันดีงามเข้าไปด้วยเพราะจะสามารถนำไปสู่บาปอุลามกและความไม่ซื่อสัตย์ต่อคู่ชีวิตของตนได้
มีนักบุญหลายๆองค์ที่ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับเรื่องของความโกรธและอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับการควบคุมพฤติกรรมของเราดังนั้นจึงขอสรุปคำสอนของท่านเหล่านั้นในบางประเด็น
– เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่จะไม่ยอมให้ความโกรธที่เป็นบาปเข้ามาสิงอยู่ในจิตใจของเราเพราะเมื่อเราปล่อยให้มันเข้ามาแล้วก็อยากที่จะผลักดันมันออกไป
– ไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใดที่จะไปช่วยแก้ไขผู้อื่นเมื่อเรายังอยู่ในอารมณ์โกรธเคือง
– ความโกรธที่เป็นบาปจะทำให้เราต้องทนทุกข์ทรมานใจอยู่ตลอดเวลา
และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมพระเยซูเจ้าจึงบอกให้ผู้ที่ฟังพระองค์แล้วให้รีบไปคืนดีอย่างไม่ต้องรอช้าเลย
นักบุญคาเธรีนาแห่งเซียนาได้บอกเราว่าไม่มีบาปหรือความผิดอย่างอื่นใดที่จะทำให้คนเราได้ลิ้มรสความทุกข์ทรมานของนรกตั้งแต่อยู่ในโลกนี้แล้วเฉกเช่นความโกรธและการไม่รู้จักอดทน…ส่วนยาแก้และบรรเทาความโกรธนี้ก็คือความสุภาพอ่อนโยน
“ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรมของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟารีสีแล้วท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย”คำกล่าวของพระเยซูเจ้านี้คงสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ฟังในสมัยของพระองค์ไม่น้อยเลยทีเดียวและในเวลาเดียวกันก็คงทำให้พวกธรรมาจารย์และชาวฟาริสีซึ่งชอบคิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่นๆทั้งหลายโกรธเคืองเป็นอันมากด้วยพระเยซูเจ้าได้ทรงประกาศให้ทุกคนได้ทราบว่าคุณธรรมของพวกเขานั้นมิใช่เป็นของจริงแต่เป็นอย่างผิวเผินเพราะดีแต่เปลือกนอกมิได้ลงลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา
คุณธรรมจะเป็นไปอย่างผิวเผินเมื่อแรงจูงใจไม่บริสุทธิ์…เพราะถ้าแรงจูงใจไม่บริสุทธิ์แล้วกิจการหรือพฤติกรรมที่ดีที่สุดก็อาจจะถูกทำลายหรือเปื้อนหมองมีมลทินไปได้…และคุณธรรมจะเป็นไปอย่างผิวเผินเมื่อขาดความจริงใจ
คุณธรรมที่แท้จริงจะต้องเป็นการแสดงออกจากสิ่งที่เขามีอยู่ภายในจิตใจ…เป็นการแสดงออกจากหัวใจ
บาปและคุณธรรมความชั่วและความดีเป็นเรื่องของหัวใจและหัวสมองมากกว่าอย่างอื่นๆ
ดังนั้นเราจึงไม่ควรที่จะมองดูชีวิตของเรามองดูคำพูดและพฤติกรรมต่างๆของเราอย่างผิวเผินเราจะต้องมีความกล้าหาญที่จะลงไปสำรวจในหัวใจของเราจริงๆเราจะต้องมองดูว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นภายในจิตใจของเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความคิดความอ่านความตั้งใจท่าทีและความอยากหรือความต้องการต่างๆของเรา
เมื่อเราพิจารณาดูบาปของเราเราจะต้องพิจารณาไตร่ตรองดูบาปของหัวใจของเราเช่นความอยากที่จะแก้แค้นหรือแก้เผ็ดความอิจฉาความโกรธความเกลียดชังงความอยากในเรื่องของกามารมณ์ฯลฯบาปของหัวใจของเราเป็นบาปที่เลวร้ายที่สุดทั้งเป็นสาเหตุหลักของบาปทางภายนอกของเราเช่นการกระทำสิ่งไม่ดีต่างๆซึ่งถ้าหากเราไม่ใส่ใจและคอยระมัดระวังมันให้ดีๆตามที่พระเยซูเจ้าได้ทรงบอกเราว่ามันสามารถที่จะนำเราไปสู่บาปที่หนักๆเช่นการฆ่าคนการประพฤติผิดในเรื่องลูกเมียของคนอื่นและความไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องต่างๆ
จากทรรศนะในเรื่องของจิตใจสิ่งที่เลวร้ายสิ่งหนึ่งที่เราสามารถจะพูดถึงได้ก็คือการที่ใจของเราเย็นชาหรือเป็นคนใจแข็ง…การเป็นคนที่มีหัวใจเย็นชาหรือเป็นคนใจแข็งนั้นก็คือการที่คนเราไม่สามารถแสดงออกซึ่งความเมตตาสงสารความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นคือเห็นอกเห็นใจผู้อื่นไม่เป็นให้อภัยคนอื่นไม่เป็นฯลฯ
ถ้าหากหัวใจของเราเย็นชาและแข็งกระด้างแล้ว เราจะเป็นคนที่มีคุณธรรมได้อย่างไร?
ตรงข้ามคนที่เป็นคนดีมีคุณธรรมคือคนที่มีหัวใจอบอุ่นอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยคุณงามความดีความใจดีมีเมตตาธรรมและมีใจเอื้ออาทรฯลฯ
ดังนั้นสิ่งที่เราจะต้องแสวงหาและใช้ความพยายามก็คือปลูกฝังคุณงามความดีของหัวใจเพราะว่าอะไรต่างๆที่ดีก็จะหลังไหลพรั่งพรูออกมาจากสิ่งที่เราเป็นอยู่เช่นเดียวกับที่“ผลไม้ที่ดีย่อมได้มาจากต้นไม้ที่ดี”และนั่นแหละที่จะเป็นของจริงของคุณงามความดีเพราะมันออกมาจากหัวใจ
พระเยซูเจ้าได้ทรงนำธรรมบัญญัติใหม่และที่มีความหมายอย่างมากๆมาให้คือธรรมบัญญัติแห่งความรักพระองค์ไม่ต้องการให้คำเทศน์สอนของพระองค์ขัดแย้งหรือลบล้างธรรมบัญญัติเก่าตรงข้ามธรรมบัญญัติใหม่ที่พระองค์ได้ทรงนำมาให้นั้นเป็นการทำให้บัญญัติเก่ามีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น…พระองค์ได้บอกว่าธรรมบัญญัติของพระเจ้าทั้งหลายทั้งปวงนั้นสามารถทอนลงมาให้เหลือแค่เพียงธรรมบัญญัติ2 ประการเท่านั้นคือ”รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์” หรืออาจจะทอนลงมาให้เหลือเพียงแค่ธรรมบัญญัติเดียวเท่านั้นก็ได้คือ“ธรรมบัญญัติแห่งความรัก”นั่นเอง
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์