ข้อคิดอาทิตย์ที่ 2 เตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า ปี B
มก 1: 1-8 …จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด…ภายหลังข้าพเจ้ามีท่านหนึ่งเสด็จมา ทรงอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าข้าพเจ้าอีก ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะน้อมตัวลงแก้สายฉลองพระบาทให้…
ท่านยอห์น แบปติสต์ ได้บอกกับผู้คนร่วมสมัยกับท่านว่า “มีผู้หนึ่งอยู่ท่ามกลางพวกเราซึ่งพวกท่านไม่รู้จัก” (ยน 1: 26-27)…ท่านกำลังพูดถึงพระเยซูเจ้าซึ่งอยู่ท่ามกลางประชาชน แต่พวกเขากลับไม่รู้จักพระองค์…ในขณะนี้ที่เรากำลังร่วมในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ เป็นองค์พระเยซูเจ้าเองซึ่งกำลังประทับอยู่ท่ามกลางพวกเราเช่นเดียวกัน
ข้อคิด…ในพระวรสารของวันอาทิตย์นี้ เราจะได้ยินเสียงร้องอันโดดเดี่ยวแต่เต็มไปด้วยพลังของท่านยอห์น แบปติสต์ ซึ่งกำลังเรียกร้องให้เราได้เตรียมหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า นี่หมายความว่าเราจะต้องพยายามหาเวลาว่างในชีวิตของเราที่กำลังยุ่งอยู่กับการงานและธุระต่างๆของเรา รวมทั้งให้จัดสรรพื้นที่ในหัวใจของเราสำหรับต้อนรับพระองค์ด้วย
ในบทอ่านแรก จากหนังสือของประกาศกอิสยาห์ (อสย 40: 1-5. 9-11) ท่านประกาศกให้ข่าวดีแห่งความหวังและความบันเทาใจแก่บรรดาผู้ถูกเนรเทศไปยังกรุงบาบีโลน ถ้าหากจะพูดตามประสามนุษย์แล้ว ความหวังของพวกเขา ณ เวลานั้น ยังเป็นสิ่งที่จะหวังได้ยากมาก แต่ถึงกระนั้นท่านประกาศกก็รับประกันกับประชาชนว่าพระเจ้ากำลังจะเสด็จมาช่วยเหลือพวกเขาและจะนำพวกเขากลับไปยังแผ่นดินของพวกเขาในการอพยพครั้งใหม่…คำพูดของท่านประกาศกอิสยาห์ในครั้งนี้ ย่อมมีนัยยะที่มุ่งไปยังอนาคตอันหมายถึงยุคสมัยของพระแมสสิยาห์หรือยุคสมัยของพระเยซูคริสตเจ้านั่นเอง โดยจะมีท่านยอห์น แบปติสต์ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นท่านประกาศกเอลียาห์องค์ใหม่ จะปรากฏตัวขึ้นนำหน้าพระองค์ในถิ่นทุรกันดาร พลางแจ้งข่าวถึงการเสด็จมาขององค์พระผู้ไถ่ พระเยซูคริสตเจ้าและพระบุตรของพระเจ้า
ทั้งจากท่านประกาศกอิสยาห์และท่านยอห์น แบปติสต์ ต่างก็เรียกร้องให้ประชาชนเป็นทุกข์กลับใจ โดยให้ “เตรียมทางของพระเจ้า”
ส่วนในบทอ่านที่สอง ท่านนักบุญเปโตรก็พูดถึงการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งขององค์พระเยซูเจ้า ส่วนเหตุผลสำหรับการชะลอการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์นั้น ก็เพื่อที่จะให้ทุกคนได้มีเวลาที่จะเป็นทุกข์กลับใจใช้โทษบาป
ข่าวดีที่ยังคงดังก้องและชัดเจนจากพระวาจาของพระเจ้าในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณของวันนี้ คือ “จงเตรียมทางของพระเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด”
ถนนหนทางที่ตรงและไม่คดเคี้ยวนั้น ย่อมจะทำให้การเดินทางสำหรับนักเดินทางสั้นลง ในยุคของเรานี้ เครื่องมืออุปกรณ์สมัยใหม่สามารถช่วยให้เรามีถนนหนทางที่ตัดตรงโดยไม่มีหลุมไม่มีบ่อได้ แต่นี่มิใช่เป็นสิ่งที่ท่านประกาศกอิสยาห์อยากจะบอกกับพวกเราในวันนี้ว่าให้ “ทำทางเดินของพระเจ้าให้ตรง”…การทำทางเดินให้ตรงที่ว่านั้นหมายถึงทางเดินแห่งชีวิตของเราแต่ละคนต่างหาก นั่นก็คือการมีท่าทีหรือทัศนคติที่ตรงไปตรงมา การมีท่าทีที่เป็นมิตรและรู้จักให้อภัยซึ่งกันและกัน
นี่แหละที่คำว่า “ตรง” ให้ความหมายถึง “การดำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์สุจริตและอย่างมีคุณธรรม” ดังนั้น เราทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นคริสตชน จำเป็นต้องดำเนินชีวิตอย่างไม่มีที่ติ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างตรงไปตรงมา ให้ละเว้นจากการกดขี่ข่มเหงผู้อื่น ไม่ทำร้ายหรือทำลายผู้อื่นในทุกรูปแบบ อย่าทำให้คนอื่นต้องทนทุกข์ยากลำบากมากขึ้นเพราะเรา และให้รู้จักแบ่งปันปัจจัยต่างๆกับผู้ที่มีความต้องการ และนี่แหละที่เป็นสิ่งที่ท่านประกาศกมีคาห์อยากจะบอกกับพวกเราว่า “พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรจากเจ้า นอกจากให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจจะกรุณาและดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระเจ้าของเจ้า” (มคา 6: 8) และเพื่อสามารถเดินในทางตรงได้ ก็เรียกร้องให้เรามีพลังแห่ง ปรีชาญาณและความมีใจเด็ดเดี่ยวเฉกเช่นท่านนักบุญยอห์น แบปติสต์และนักบุญยอแซฟ
ท่านยอห์น แบปติสต์…เป็นบุคคลสุดท้ายและยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาคนที่ไม่เห็นแก่ตัวและเป็นผู้กล้าที่เตรียมประชาชนสำหรับการเสด็จมาของพระแมสสิยาห์…ท่านมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่ากำลังจะมาอยู่แล้ว ส่วนตัวท่านนั้นเป็นเพียงแต่แสงริบหรี่ๆเท่านั้นเมื่อนำเอาไปเปรียบเทียบกับองค์ความสว่างคือองค์พระเยซูคริสตเจ้าที่กำลังจะเสด็จมา
เมื่อแสงสว่างได้ปรากฏขึ้นในพระบุคคลของพระเยซูเจ้า ท่านย่อมรู้ดีว่างานหรือภารกิจของท่านก็จะเป็นอันสิ้นสุดลง…ท่านไม่เคยคิดที่จะขัดขวางหรือชะลอการมาถึงของแสงสว่างดวงใหม่เลย ตรงข้าม ท่านกลับต้อนรับแสงสว่างดวงใหม่นี้ด้วยความชื่นชมยินดี ให้กำลังใจและพยายามที่จะทำให้พระภารกิจของพระองค์ง่ายเข้าและสะดวกขึ้น…ท่านยังได้ชี้แสดงพระเยซูเจ้าให้กับประชาชนอีกด้วยและยอมรับว่าพระองค์นั้นยิ่งใหญ่กว่าตัวท่านมากมายนัก ท่านเป็นเพียงแต่ดวงจันทร์ แต่พระเยซูเจ้าทรงเป็นดวงอาทิตย์ ท่านจึงต้องหลบฉากออกไป พลางปล่อยให้พระเยซูเจ้าได้ฉายแสง และนี่แหละที่ทำให้ท่านยอห์น แบปติสต์ เป็นผู้ยิ่งใหญ่สุดๆที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกล่าวชมเชยท่านและยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นหนี้ต่อท่าน
เพื่อที่จะทำทางหรือเพื่อเปิดพื้นที่หรือเปิดโอกาสให้กับคนอื่น ก็เรียกร้องให้มีความสุภาพถ่อมตนและความใจกว้าง นั่นก็คือการรู้จักตายต่อตนเอง…การที่ยอมถอยจากตำแหน่งหน้าที่สูงๆ ก็คือการตายต่อตนเองทีละเล็กทีละน้อย มีหลายๆคน แม้ว่าเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์และมีตำแหน่งหน้าที่สูงๆ ก็มักจะทำร้ายและทำลายตัวเองเพียงเพื่อจะรักษาอำนาจและตำแหน่งหน้าที่นั้นเอาไว้
ผู้ที่เป็นพ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะใช้ช่วงเวลาหลายๆปีที่ดีที่สุดของตน ในการเตรียมลูกๆของตนให้ค่อยๆเปิดตัวเองสู่โลกกว้าง เพื่อว่าสักวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อผู้ที่เป็นพ่อแม่จะได้ถอยออกจากชีวิตของพวกเขาแล้ว พวกลูกๆก็จะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวของเขาเอง
พวกเราทั้งหลายมักจะถูกผจญให้ทำอะไรที่อยากให้คนอื่นเห็นหรือรับรู้ อยากเป็นนายเหนือคนอื่น ฯลฯ แม้ว่าเราต้องใช้พระพรที่พระเจ้าประทานให้แก่เราแต่ละคนอย่างดีและอย่างเต็มความสามารถแล้ว เราก็ควรจะใช้พระพรเหล่านั้น มิใช่เพื่อไปปิดกั้นหนทางแห่งชีวิตของเพื่อนพี่น้องของเรา ตรงข้ามเราจะต้องมีจิตสำนึกอยู่เสมอว่าเราก็เป็นหนี้เพื่อนพี่น้องของเราเหมือนกัน เพราะมีหลายๆคนที่ได้เตรียมทางแห่งชีวิตสำหรับเราเหมือนกันโดยที่เราไม่รู้ตัว
ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้านี้ พระองค์ได้ทรงเปิดหนทางให้พวกเราทุกคนได้เดินไปสู่การช่วยให้รอดพ้นของพระองค์ เราจึงต้องใช้ความพยายามที่จะเดินในแสงสว่างของพระองค์ พลางหลีกเลี่ยงมิให้ตัวเองเป็นความมืดในหนทางแห่งชีวิตของตนเองและของเพื่อนพี่น้อง หนทางเดียวที่เราจะพบสันติสุขและความสุข ก็คือการลืมตนเองและรักคนอื่น
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์