สมโภชพระคริสตเจ้าทรงแสดงองค์ปีB
มธ2: 1-12…พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้นจึงพร้อมใจกันมาเพื่อนมัสการพระองค์…บรรดาโหราจารย์มีความยินดียิ่งนักเข้าไปในบ้านพบพระกุมารกับพระนางมารีย์พระมารดา… จึงคุกเข่าลงนมัสการพะองค์แล้วเปิดหีบสมบัตินำทองคำกำยานและมดยอบออกมาถวายพระองค์…
ในธรรมประเพณีของศาสนาคริสต์พญาสามองค์คือกลุ่มบุคคลต่างชาติกลุ่มหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นบุคคลสำคัญได้มาเยี่ยมและนมัสการพระเยซูเจ้าพระกุมารหลังจากการบังเกิดเป็นมนุษย์ของพระองค์ท่านเหล่านั้นได้นำของขวัญอันมีทองคำกำยานและมดยอบมาถวายเป็นของกำนัลแด่พระองค์ด้วย…และเราแต่ละคนมีของขวัญอะไรมาถวายแด่พระกุมารเจ้า?
ข้อคิด…พระวรสารของนักบุญมัทธิว(มธ2: 1-12)เป็นพระวรสารฉบับเดียวจากสี่ฉบับที่ได้มีการเอ๋ยถึง“พญาสามองค์” พลางบอกว่าท่านทั้งสามมาจาก“แดนตะวันออก” เพื่อจะมานมัสการพระคริสต์“พระผู้ได้ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว”…แม้เรื่องเล่าในพระวรสารจะมิได้บอกเราว่าท่านเหล่านี้มีจำนวนเท่าใดแต่ของขวัญทั้งสามชิ้นที่พวกท่านนำมาถวายแด่พระกุมารเยซูเจ้านั้นทำให้สามารถตั้งข้อสมมุติฐานว่าพวกท่านคงจะมีจำนวนสามท่านด้วยกัน…การที่เชื่อว่าท่านทั้งสามเป็นกษัตริย์ในพระวรสารของนักบุญมัทธิวนั้นก็เชื่อว่าคงจะถูกนำไปเชื่อมโยงกับหนังสือของประกาศกอิสยาห์บทที่60: 3ที่บอกว่าพระแมสสิยาห์จะได้รับการกราบไหว้นมัสการจากบรรดากษัตริย์ “นานาชาติจะเดินมาหาความสว่างของท่านบรรดากษัตริย์จะทรงพระดำเนินมาสู่ความสดใสที่ทอแสงเหนือท่าน”
นักบุญมัทธิวได้นำเสนอให้เห็นถึงการเผยแสดงของพระเจ้าในหลายวิธีที่แตกต่างกันแต่ก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือให้พระบุตรพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นที่รู้จักและได้รับการต้อนรับจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกันและเพื่อให้มนุษยชาติได้มาเป็นครอบครัวเดียวกันโดยให้นมัสการและรับใช้พระเจ้าองค์เดียวกัน…องค์พระบุตรพระเจ้านี้ที่ชนชาวยิวซึ่งมีพระคัมภีร์ที่ได้ค่อยๆเผยแสดงการเสด็จมาของพระองค์กลับปฏิเสธไม่ยอมต้อนรับพระองค์ขณะที่ชนต่างชาติโดยการนำของดวงดาวได้มาค้นหาพระกุมารและเมื่อพบแล้วก็ได้นมัสการพระองค์และถวายของขวัญแด่พระองค์
ความปรารถนาอันแรงกล้าของพระเยซูเจ้าผู้สถาปนาพระศาสนจักรและของพระศาสนจักรเองในทุกยุคทุกสมัยก็คือต้องการให้มนุษยชาติมีเอกภาพสากลภาพและสันติภาพที่แท้จริงและได้มาเป็นครอบครัวเดียวกัน
มนุษย์คนแรกในพระคัมภีร์ที่ได้เชื่อในสากลภาพนี้ก็คืออับราฮัมบิดาแห่งความเชื่อของมนุษยชาติพระเจ้าได้ทรงสัญญากับท่านไว้ว่าในวันหนึ่งข้างหน้าบรรดาประชาชาติต่างๆจะมาร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในพงศ์พันธุ์ของท่านและท่านเองก็ได้เชื่อเช่นนั้น
ประชาชาติอิสราแอลได้รับมอบหมายให้เป็นผู้รวบรวมประชากรทั้งหลายให้เป็นหนึ่งเดียวกันในพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและดังนี้พระสัญญาแห่งสากลภาพก็จะบรรลุถึงความสำเร็จ
ชาวอิสราแอลได้เชื่ออย่างผิดๆว่าพวกเขาสามารถสร้างสากลภาพเอกภาพและสันติภาพดังกล่าวขึ้นมาได้ด้วยการปฏิบัติตามกฎระเบียบอะไรบางอย่างของพวกเขาเช่นการถือธรรมบัญญัติการถือวันสับบาโตการเข้าสุหนัตฯลฯแต่ว่าจริงๆแล้วจะต้องเป็นความเชื่อของอับราฮัมต่างหากที่จะสามารถรวบรวมชนทุกชาติทุกภาษาให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้
การประกาศว่าจะต้องมีประชากรใหม่ของพระเจ้าที่ไม่จำกัดเชื้อชาตินั้นได้รับการตระเตรียมล่วงหน้าในประชากรเลือกสรรและได้สำเร็จเป็นไปในองค์พระคริสตเจ้าเพราะในแผนการของพระบิดาเจ้าเป็นพระองค์เองที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า(อฟ1: 9-10) และทุกสิ่งที่แตกแยกกันออกไปก็จะพบเอกภาพในองค์พระคริสต์ (อฟ3:6)
โดยเริ่มจากการเรียกปราชญ์จากแดนตะวันออกพระเยซูเจ้าได้เริ่มรวบรวมประชากรเพื่อที่จะสรรสร้างให้เป็นครอบครัวใหญ่ของมนุษยชาติและมนุษย์แต่ละคนจะมีจิตสำนึกว่าพวกเขาคือบุตรพระเจ้าได้รับการไถ่จากพระคริสต์อย่างเท่าเทียมกันและเป็นพี่น้องกัน
ดังนั้นภาพนิมิตสุดท้ายของพระธรรมใหม่ในหนังสือวิวรณ์จึงมีความหมายมาก(วว7: 4-12; 15: 3-4; 21: 24-26) คือชนทุกชาติทุกภาษาจะมากราบไหว้นมัสการพระเจ้าผู้เป็นกษัตริย์แห่งชนชาติทั้งหลายพวกเขาจะพักอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเลมใหม่และในกรุงเยรูซาเลมใหม่นี้ครอบครัวของมนุษยชาติจะพบกับเอกภาพที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง
เวลาที่เราพูดถึงเรื่อง“เอกภาพ”ก็เสี่ยงที่จะทำให้เข้าใจผิดได้ง่ายๆเพราะบ่อยๆเรามักจะเข้าใจว่า“เอกภาพ”คือการที่ต้องมีอะไรเหมือนๆกันหมด นั่นก็คือต้องขจัดความแตกต่างในแต่ละคนให้หมดสิ้นไปโดยให้แต่ละคนเท่าเสมอกันหมดและเหมือนกันหมดความคิดดังกล่าวนี้มิใช่เป็นความคิดที่ถูกต้องเลยเพราะว่าความแตกต่างกันและความหลายหลากของวัฒนธรรมและภาษาของแต่ละชาติคือความมั่งคั่งของมนุษยชาติเช่นเดียวกันสำหรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระศาสนจักรต้องเป็นหนึ่งเดียวและสากลนั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องไม่มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไปสำหรับจะเจริญชีวิตด้วยความเชื่ออย่างเดียวกัน
คริสตชนที่แท้จริงจะต้องไม่ปฏิเสธความแปลกใหม่แต่ก่อนอื่นเขาจะต้องทำการพิสูจน์ว่าสิ่งแปลกใหม่เหล่านั้นจะต้องไม่ใช่มิติใหม่ของความเชื่อในพระองค์พระคริสตเจ้า ประสบการณ์ต่างๆมากมายในปัจจุบันนี้ซึ่งหลายๆครั้งอาจจะเป็นที่สะดุดสำหรับคนบางประเภทแต่ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นยาชุบชูกำลังให้กับความมีชีวิตชีวาของพระศาสนจักร พระคริสตเจ้าให้บทเรียนแต่เพียงบทเดียวแก่เราว่า“จงรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดดวงใจและจงรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเอง”(เทียบยน13:34) ในบทเรียนบทนี้แหละที่เราจะพบความหมายและทิศทางนี่แหละที่เป็นดาวดวงนั้นที่เราจะต้องเฝ้าติดตามสำหรับจะบรรลุถึงเป้าหมายแห่งสากลภาพภารดรภาพและเอกภาพที่แท้จริงของมนุษยชาติและของพระศาสนจักร
สวัสดี…พ่อวีีศักดิ์