ข้อคิดอาทิตย์ที่6 เทศกาลธรรมดาปีB
มก1: 40-45…พระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสคนโรคเรื้อนตรัสว่า“เราพอใจจงหายเถิด” ทันใดนั้นโรคเรื้อนก็หาย…
ในสมัยพระธรรมเก่าประชาชนจะไปแตะต้องคนที่เป็นโรคเรื้อนไม่ได้เพราะเป็นโรคติดต่อแต่ถึงกระนั้นพระเยซูเจ้าก็ได้ออกไปหาคนโรคเรื้อนและได้ทำการสัมผัสพวกเขา…เช่นเดียวกันพระองค์ก็ยังได้ออกมาหาเราซึ่งเป็นคนบาปอยู่เสมอทุกๆขณะในชีวิตของเรา…ณบัดนี้ให้เราเข้ามาหาพระองค์ด้วยความตระหนักว่าเราต้องการการสัมผัสของพระองค์ที่สามารถรักษาเราให้หายจากโรคภัยต่างๆทั้งทางกายและใจของเราได้
ข้อคิด…เรื่องโรคเรื้อนเป็นเนื้อหาสาระที่สำคัญของบทอ่านที่หนึ่ง(ลนต13: 1-2. 44-46) และของพระวรสาร(มก1: 40-45) ในสมัยของพระธรรมเก่าคนโรคเรื้อนได้รับการปฏิบัติอย่างคนที่สังคมไม่ต้องการโรคเรื้อนเป็นความไม่สะอาดเป็นความมีมลทินแบบสุดๆของพระธรรมเก่าทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของโรคเรื้อนนี้มิใช่เฉพาะเป็นบุคคลที่สังคมไม่ต้องการเท่านั้นแต่ยังเป็นบุคคลที่ทางศาสนาไม่ต้องการอีกด้วย
พระเยซูเจ้าได้ทรงทำลายกำแพงขวางกั้นที่ว่านี้และพระองค์ได้ออกไปสัมผัสพวกคนเหล่านี้ด้วยพระหัตถ์ที่แสดงความรักและความปรารถนาที่ต้องการรักษาพวกเขาให้หายอีกด้วย…ด้วยประการฉะนี้เราจึงแลเห็นว่ากลุ่มคริสตชนของเราควรจะต้องปฏิบัติต่อคนบาปและคนที่ถูกสังคมทอดทิ้งอย่างไรนอกจากนี้ถ้าหากคริสตชนคือผู้ที่ได้รับการชำระล้างให้สอาดจากพระคริสตเจ้าในศีลล้างบาปก็ควรที่จะเผยแพร่ข่าวดีและทำดีตามแบบอย่างขององค์พระเยซูคริสตเจ้า
ในสมัยพระธรรมเก่าเชื่อกันว่าโรคเรื้อนเป็นโรคที่เสี่ยงจะติดต่อกันได้ง่ายที่สุดและด้วยเหตุผลดังกล่าวพวกคนโรคเรื้อนจึงถูกบีบบังคับให้มีชีวิตอยู่ข้างนอกสังคมและได้กลายเป็นผู้ห้ามไม่ให้แตะต้องเพราะเกรงว่าโรคนี้จะติดต่อไปยังผู้แตะต้อง
ความเป็นอยู่ของพวกคนโรคเรื้อนเป็นอะไรที่เย็นชาไม่มีใครเหลียวแลซ้ำยังถูกโดดเดี่ยวจากเพื่อนพี่น้องพวกเขาต้องอำลาออกจากบ้านจากครอบครัวและจากเพื่อนฝูง…ครั้งหนึ่งในชีวิตของพวกเขาพวกเขายังมีคนที่คอยอยู่เคียงข้างแต่บัดนี้พวกเขาต้องอยู่ตัวคนเดียวไม่มีใครกล้าให้ความสนใจชีวิตของพวกเขาก็คือคนตายที่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ประชาชนก็เชื่อกันว่าพวกเขาโดนสาปแช่งจากพระเจ้าพวกเขาถูกถือเสมือนว่ามิใช่เป็นคนป่วยเท่านั้นแต่ยังเป็นคนที่ไม่สะอาดทางศาสนาอีกด้วย
นี่แหละเป็นคนประเภทที่เข้ามาหาพระเยซูเจ้าโดยปกติแล้วคนโรคเรื้อนไม่ควรจะปรากฎตัวในที่สาธารณะด้วยซ้ำไปแต่ถ้าต้องปรากฎตัวในที่สาธารณะก็จะต้องร้องตะโกนอย่างเป็นเสียงบอกเตือนแต่การปรากฎตัวในที่สาธารณะของเขาอาจจะเสี่ยงต่อการถูกขับไล่ด้วยก้อนหินแต่เขาก็มีความมุ่งมั่นที่จะพบใครบางคนซึ่งเขาเชื่อว่าเขาคนนั้นจะไม่ทอดทิ้งเขาและจะสามารถช่วยเขาได้
พระเยซูเจ้าแลเห็นคนโรคเรื้อนคนนั้นกำลังจะเข้ามาหาพระองค์พระองค์ก็อนุญาตไม่ขัดขวางความต้องการของเขา…คงจะมีหลายๆคนกำลังคิดว่าพระเยซูเจ้าจะทรงแตะต้องคนโรคเรื้อนคนนั้นหรือว่าจะไม่ยอมแตะต้องคนโรคเรื้อนคนนั้นหรืออย่างไร?
ถ้าหากพระเยซูเจ้าแตะต้องคนโรคเรื้อนพระองค์จะพูดอะไร?
และถ้าหากพระองค์จะไม่แตะต้องคนโรคเรื้อนพระองค์จะพูดอะไร?
แน่นอนเมื่อพระเยซูเจ้าแลเห็นสภาพและรู้สึกถึงความรู้สึกของคนโรคเรื้อนคนนั้นแล้วพระองค์ก็รู้สึกสงสารอยากจะช่วยเขาให้พ้นจากสภาพนั้นทางสังคมและทางจิตใจด้วยพระองค์จึงทรงออกไปหาเขาและสัมผัสตัวเขาซึ่งอาจจะทำให้ผู้แลเห็นรู้สึกช็อคเพราะด้วยการสัมผัสคนโรคเรื้อนผู้ที่ทำการสัมผัสก็จะกลายเป็นคนไม่สะอาดเสียเอง
พวกเราส่วนใหญ่ก็มักจะกลัวคนป่วยคนไข้คนที่มีบาดแผลและคนที่ยากจนน่าสงสารร่างกายไม่สะอาดทั้งไม่ค่อยอยากที่จะเข้าใกล้เพราะคิดว่าเนื้อตัวของพวกเขาสกปรก… เวลาที่เราทำทานให้คนขอทานเราก็ไม่อยากที่จะสัมผัสกับคนขอทาน…แต่ว่าสำหรับตัวเราเองเรากลับชอบได้รับการสัมผัสจากคนอื่นเรารู้สึกว่าได้รับเกียรติเมื่อมีบุคคลสำคัญที่มาจับมือกับเราหรือลูบหลังตบหลังเราเบาๆ
การได้รับการสัมผัสทางกายเป็นอะไรบางอย่างที่ทำให้คนป่วยคนที่ได้รับบาดเจ็บรู้สึกอบอุ่นและดีใจโดยการสัมผัสคนอื่นก็จะเป็นการรับรองว่าเราได้ยอมรับเขาอย่างที่เขาควรจะเป็นพระเยซูเจ้าจึงได้สัมผัสคนโรคเรื้อนคนบาปคนป่วยและคนตายด้วยเพราะพระองค์ทรงยอมรับพวกเขาเหล่านั้น
ให้เราลองจินตนาการดูซิว่าคนโรคเรื้อนจะรู้สึกยินดีและดีใจสักเพียงใดที่ได้รับการสัมผัสจากพระเยซูเจ้าอย่างน้อยก็ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเขาได้รับการยอมรับว่าเขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นเดียวกับคนอื่นๆเหมือนกันนอกจากร่างกายของเขาจะได้ถูกทำให้เป็นบาดแผลอย่างน่ากลัวจากโรคเรื้อนแล้วแต่ว่าจิตใจของเขาได้ถูกทำให้เป็นบาดแผลมากกว่านั้นอีกเพราะถูกสังคมรังเกียจไม่ยอมรับแต่พระเยซูเจ้าได้รักษาจิตใจที่ถูกทำให้เป็นบาดแผลของเขาโดยการสัมผัสตัวเขา
แล้วนั้นคนโรคเรื้อนได้กราบทูลพระเยซูเจ้าว่า“ถ้าพระองค์พอพระทัยพระองค์ย่อมทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้”
พระเยซูเจ้าทรงสงสารตื้นตันพระทัยจึงทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขาตรัสว่า“เราพอใจจงหายเถิด”ทันใดนั้นโรคเรื้อนก็หายเขากลับเป็นปกติเขาได้รับการรักษาให้หายทั้งร่ายกายและจิตใจ
ความใจดีเป็นยาบำบัดรักษาและยาบำรุงกำลังที่ดีเยี่ยมและสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่เราแต่ละคนสามารถให้กับคนป่วยคนไม่สบายได้…พระเยซูเจ้าได้ยื่นมือแห่งความรักมือแห่งการช่วยรักษาให้หายไปยังคนที่สังคมไม่ต้องการพระองค์ท้าทายพวกเราซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ให้ออกไปหาผู้ที่ถูกสังคมทอดทิ้งเช่นคนคุกคนติดยาคนเดินทางคนติดเอดส์ฯลฯด้วยการกระทำอย่างเดียวกัน
เป็นเรื่องที่น่าพิศวงสำหรับสิ่งดีๆที่เราสามารถทำให้กับเพื่อนพี่น้องของเราเพราะสำหรับพวกเขาเราสามารถจุดความหวังให้ขึ้นมาใหม่และนำความอยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้กลับมาอีกรวมทั้งช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับอนาคตของพวกเขาอีกด้วยฯลฯสิ่งดีต่างๆเหล่านี้แม้จะไม่ใหญ่โตอะไรมากนักแต่ก็เป็นเหมือนกระจกเงาที่สะท้อนให้เห็นถึงพระทัยดีของพระเจ้าได้
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์