ข้อคิดอาทิตย์ที่ 5 เทศกาลมหาพรตปีB
ยน12: 20-33…ถ้าเมล็ดข้าวได้ตกลงในดินและตายไป…มันก็จะบังเกิดผลมากมาย…ข้าแต่พระบิดาเจ้าข้าโปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้…โปรดประทานพระสิริรุ่งโรจน์แด่พระนามของพระองค์เถิด…เมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดินเราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา
เมล็ดข้าวต้องเปื่อยเน่าตายไปเพื่อที่จะบังเกิดผลเช่นเดียวกันเราต้องตายต่อตัวเราเองเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความเป็นมนุษย์และอย่างลูกของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้นเพื่อรับใช้พระเจ้าและรับใช้เพื่อนพี่น้อง
ข้อคิด…ในบทอ่านแรก(ยรม31: 31-34) ท่านประกาศกเยเรมีย์ได้กล่าวถึงพันธสัญญาฉบับใหม่ระหว่างพระเจ้ากับประชากรของพระองค์พันธสัญญาฉบับใหม่นี้ได้ถูกกระทำขึ้นโดยการสิ้นพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้า“ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่ในโลหิตของเราที่หลั่งเพื่อท่านทั้งหลาย”(ลก22: 20)
ในบทอ่านที่สอง(ฮบ5: 7-9) ก็เป็นเสียงสะท้อนว่า“พระบุตรทรงเรียนรู้ที่จะนอบน้อมเชื่อฟังโดยการรับทรมาน”อันทำให้การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์มหาศาลสำหรับมนุษยชาติเพราะพระองค์ได้กลายเป็นท่อธารแห่งชีวิตนิรันดรสำหรับทุกๆคนที่นอบน้อมเชื่อฟังพระองค์
ส่วนในพระวรสาร…พระเยซูเจ้าได้พูดถึงการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่กำลังคืบคลานเข้ามาเรื่อยๆแต่พระองค์ก็ทรงตระหนักดีว่านั่นเป็นพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า…พระเยซูเจ้าได้ใช้ตัวอย่างของเมล็ดข้าวที่ต้องเน่าเปื่อยตายไปเพื่อที่จะออกผลผลิตมากมายอันมีนัยยะว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เองก็จะบังเกิดผลมากมายเช่นกัน
นักบุญยอห์นไม่ได้เล่าเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในสวนมะกอกในพระวรสารของท่านแต่มีรายงานที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันที่บอกว่า“บัดนี้ใจของเราหวั่นไหว”(ยน12: 27) และในพระวาจาของพระองค์ที่ว่า“เราควรจะขอร้องพระบิดาเจ้าโปรดช่วยให้พ้นจากเวลานี้หรืออย่างไร?” (ยน12: 27) อันสอดคล้องกับการอธิษฐานภาวนาของพระองค์ในสวนเกทเสมนีในพระวรสารของนักบุญมาระโก(มก14: 36)
มีหลายๆคนที่ชอบพูดว่าวีรบุรุษหรือไอดอลของพวกเขาต้องเป็นคนที่เข้มแข็งและไม่ออกอาการอ่อนแอให้แลเห็นและต้องไม่ออกอาการลังเลหรือสงสัยหรือกลัวแม้นว่าคนที่จะเป็นวีรบุรุษหรือไอดอลในดวงใจของคนอื่นๆได้ต้องเป็นคนเข้มแข็งและกล้าในทุกเวลาและในทุกสภาพแวดล้อมแต่ว่าในความเป็นจริงวีรบุรุษที่แท้จริงก็มิได้เป็นอย่างนั้น
พระเยซูเจ้าเองก็มิได้ไปเผชิญความตายอย่างมั่นอกมั่นใจแต่อย่างใดพระองค์ได้มีช่วงเวลาที่ตกต่ำที่สุดในสวนเกทเสมนีเมื่อดวงวิญญาณของพระองค์อยู่ในอาการแห่งความทุกข์กังวลอย่างแสนสาหัสจนกระทั่งพระองค์ต้องเอ๋ยปากออกมาว่า“ใจเราเป็นทุกข์แทบสิ้นชีวิต” (มก14: 34) แม้นว่าพระวรสารของนักบุญยอห์นไม่มีเรื่องเล่าของการเข้าตรีทูตในสวนเกทเสมนีแต่พระองค์ก็ได้แสดงอาการความรู้สึกออกมาในลักษณะที่คล้ายคลึงกันในสุนทรพจน์ที่พระองค์กล่าวกับสานุศิษย์ในระหว่างรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้าย(ให้ดูยน14-17)
ถ้าเราจะได้พินิจพิเคราะห์ดูให้ดีๆจะเห็นว่าการเข้าตรีทูตของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนีนั้นน่าจะเป็นส่วนที่ให้ความบรรเทาใจมากที่สุดในพระวรสารตอนหนึ่งเพราะแสดงให้เห็นว่าพระเยซูเจ้ามีความเป็นมนุษย์มากที่สุดยิ่งกว่านั้นยังแสดงให้เห็นว่าพระองค์ยอมเดินเข้าสู่โชคชะตากรรมของพระองค์อย่างใจเด็ดเดี่ยวแต่ว่าขณะนี้ช่วงเวลาอันน่าสะพึงกลัวกำลังมาถึงแล้วพระองค์กำลังอยู่ในสภาพที่หมดหวังอย่างที่สุดจนว่าเหงื่อของพระองค์ที่ตกลงยังพื้นดินได้กลายเป็นหยดเลือดพระองค์กำลังรู้สึกสุดๆกับพระทรมานของพระองค์เราคงอยากจะตั้งคำถามว่า“พระเยซูเจ้าได้พละกำลังที่จะเผชิญหน้ากับการทรมานอันแสนสาหัสนี้จากที่ไหน?”…ก็จากการอธิษฐานภาวนานั่นก็คือจากพระเจ้านั่นเองมีบางคนได้ให้คำนิยามของความกล้าหาญว่าดังนี้“ความกล้าหาญก็คือความกลัวที่ได้พูดออกมาเป็นคำอธิษฐานภาวนา”
คงจะไม่ใช่“คน” หรือ“มนุษย์” ถ้าหากมิได้มีความรู้สึกกลัวเมื่อถูกภัยอันตรายคุกคามความกล้าหาญมิใช่กลัวไม่เป็นมีความกลัวได้แต่ต้องเดินออกไปเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่สะทกสะท้าน…“คนที่ไม่เคยรู้สึกกลัวไม่ใช่วีรบุรุษแต่คนที่สามารถเอาชนะความกลัวได้นั่นแหละคือวีรบุรุษ”
การเข้าตรีทูตของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนีให้ความบรรเทาใจและความหวังแก่เราในช่วงเวลาที่เราตกต่ำท้อถอยไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปเสแสร้งว่าเราทำด้วยหินแกรนิตที่ไม่มีวันแตกสลาย…เราจะต้องไม่ซ่อนความอ่อนแอและความกลัวของเราเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าเราต้องหันไปหาพระเจ้าด้วยคำอธิษฐานภาวนาที่ออกมาจากหัวใจและเราก็คงจะต้องแสวงหาความบรรเทาใจจากมนุษย์ด้วยเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าเองซึ่งได้ขอร้องให้เปโตรยากอบและยอห์นให้ตื่นเฝ้าและอธิษฐานภาวนากับพระองค์
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์