ข้อคิดอาทิตย์ที่10 เทศกาลธรรมดาปีB
มก3: 20-35…ถ้าครอบครัวหนึ่งแตกแยกครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้…และผู้ใดทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา…
โครงการที่ดีที่มีประโยชน์สามารถนำไปสู่จุดหมายที่ไม่พึงประสงค์เมื่อเกิดการแตกแยกไม่ยอมฟังกันเข้าใจกันดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกๆวัน…โลกเรามนุษย์เต็มไปด้วยความแตกแยกแบ่งพรรคแบ่งพวกไม่ยอมเข้าหากัน…ให้เราอธิษฐานต่อพระเยซูเจ้าให้เราได้เข้าคืนดีกับเพื่อนพี่น้องของเราและเข้าคืนดีกับพระเจ้า
ข้อคิด…ในบทอ่านที่หนึ่ง(ปฐก3: 9-15) เราได้แลเห็นความพยายามของอาดัมและเอวาที่จะโยนความผิดของตัวเองไปให้กับงูที่มาล่อลวงหรือแม้ให้กับพระเจ้าด้วย…นอกจากนั้นเรายังได้แลเห็นผลร้ายของบาปอีกด้วยคือความชิดสัมพันธ์กับพระเจ้าความแตกแยกกันระหว่างหญิงกับชายและชายมักจะไม่ซื่อสัตย์ต่อหญิง…ไม่ใช่เป็นพระเจ้าที่ได้ทำให้ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นแต่เป็นเพราะคู่หญิงชายนี่เองแหละอย่างไรก็ตามเหตุการณ์นี้ก็ได้จบลงด้วยพระสัญญาแห่งการช่วยให้รอดพ้นของพระเจ้า
ส่วนในพระวรสารก็ได้แสดงให้เห็นว่าพระสัญญาแห่งการช่วยให้รอดพ้นนี้ได้สำเร็จเป็นไปในองค์พระเยซูเจ้าพระองค์ได้ทรงขับไล่ปีศาจมารร้ายและได้ทรงสถาปนาพระอาณาจักรพระเจ้าสำหรับผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระองค์และทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าก็จะได้ยอมรับว่าเป็นพี่และน้องและแม่ของพระองค์
เมื่อพระเจ้าได้ทรงให้จิตใจอิสระแก่อาดัมและเอวาก็เพื่อให้เขาทั้งสองสามารถเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องแต่เขาได้เลือกในสิ่งที่ไม่ถูกต้องการเลือกสิ่งไม่ถูกต้องนั้นเป็นการใช้ใจอิสระไปในทางที่ผิดและเหมือนกับเด็กๆเวลาที่ทำผิดแล้วก็มักจะหลบหน้าซ่อนตัวมากกว่าที่จะเผชิญหน้ากับผลที่ตามมาแต่พระเจ้าก็ได้ตามหาพวกเขาและทรงเรียกอาดัม“เจ้าอยู่ที่ไหน?”
คำถาม“เจ้าอยู่ที่ไหน?”…เป็นคำถามที่กวนใจอย่างยิ่งสำหรับคนที่รู้ว่าตัวเองทำผิดเป็นคำถามที่มิใช่ถามกับอาดัมเท่านั้นแต่ถามกับทุกๆคนที่ทำผิดต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
อาดัมและเอวารู้สึกกลัวตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงของพระเจ้าเขาทั้งสองรู้สึกละอายใจตัวเองต่อสิ่งที่ได้ทำลงไป…ที่จริงหัวใจของเรามนุษย์ทุกๆคนก็จะรู้สึกกลัวตัวสั่นเมื่อได้ยินคำถามแบบนี้“เจ้าอยู่ที่ไหน?” เป็นคำถามมิใช่หมายถึงคำขู่แต่เป็นคำถามของการอยากจะช่วยเหลือเป็นเสียงของใครบางคนที่อยากจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้
เมื่ออาดัมและเอวาได้ทำบาปก็จำเป็นจะต้องมีผลลัพธ์ที่ตามมาก่อนที่เขาทั้งสองจะทำบาปเขามีความสุขในความสนิทสนมสัมพันธ์กับพระเจ้าแต่หลังจากที่บาปแล้วเขาเริ่มรู้สึกกลัวพระเจ้าและพยายามที่จะซ่อนตัวเองจากพระเจ้า…ส่วนสำหรับเขาทั้งสองนั้นความเป็นหนึ่งเดียวและความเข้าอกเข้าใจกับก็ค่อยๆมลายหายไปมีความแตกแยกมีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกันและความหวาดระแวงต่อกัน
ส่วนในพระวรสารพระเยซูเจ้าได้ทรงตรัสว่า“ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยกอาณาจักรนั้นก็อยู่ไม่ได้” เราคงไม่จำเป็นที่จะต้องไปหาเหตุผลว่าทำไมเพราะเราเห็นความเป็นจริงเช่นนี้ต่อหน้าต่อเราเราเห็นสงครามการสู้รบในบางประเทศบางท้องถิ่นเช่นในประเทศซีเรียในขณะนี้และเราเห็นความแตกแยกร้าวฉานในบางครอบครัวลูกๆไม่ได้อยู่กับพ่อแม่ดังนี้เป็นต้น
ปัญหาที่ว่านี้ ก็เกิดขึ้นกับเราแต่ละคนด้วย ความเป็นตัวตนของถูกแบ่งแยก ความคิดหรือเหตุผลกับน้ำใจหรือเจตจำนงของเราเอง ไปกันไม่ได้ ถูกดึงไปคนละทิศคนละทาง มีการต่อสู้ความขัดแย้งอยู่ภายในของแต่ละคน เป็นการต่อสู้ระหว่างความสว่างและความมืด ความดีและความชั่ว…“สิ่งดีที่เราต้องการทำ เราก็ไม่ทำ สิ่งไม่ดีที่เราต้องการหลีกเลี่ยง เราก็ไปทำ”
อย่างไรก็ตามนักบุญเปาโลในบทอ่านที่สอง(2คร4: 13-5: 1) บอกกับพวกเราในวันนี้ว่าไม่ให้มุ่งมั่นในสิ่งที่แลเห็นได้แต่ให้มุ่งมั่นในสิ่งที่แลเห็นไม่ได้เพราะสิ่งที่แลเห็นได้นั้นเป็นสิ่งที่คงอยู่ชั่วคราวแต่สิ่งที่แลเห็นไม่ได้คงอยู่นิรันดรและความทุกข์ยากลำบากเล็กน้อยของเราในปัจจุบันนี้(ซึ่งมักจะก่อให้เกิดความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจของเรา) กำลังเตรียมเราให้ได้รับสิริรุ่งโรจน์นิรันดรอันยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้(ซึ่งเราจะต้องประสานให้เข้ามาหาจิตใจของเราให้ได้)
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์