ข้อคิดอาทิตย์ที่ 25 เทศกาลธรรมดาปีB
มก9: 30-37…ผู้ใดที่ต้อนรับเด็กเล็กๆเช่นนี้ในนามของเรา ก็ต้อนรับเรา…ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่งก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้ายและเป็นผู้รับใช้ของทุกๆคน…
ในฐานะที่เป็นคริสตชนขอให้เราทุกคนถูกได้ใช้ชีวิตอย่างสันติและอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเพื่อนพี่น้องอย่าให้มีการแก่งแย่งชิงดีกันแต่ให้รับใช้ซึ่งกันและกัน…สิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวทำลายความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้ก็คือความทะเยอทะยานที่ผิดๆและไม่ถูกต้องสมควรดังนั้นให้เราวอนขอองค์พระเยซูเจ้าโปรดอภัยความผิดบาปต่างๆของเราและโปรดช่วยเราให้ใช้ชีวิตตามค่านิยมแห่งพระวรสารของพระองค์…
ข้อคิด…บทอ่านที่หนึ่ง(ปชญ2: 12. 17-20) กล่าวถึง”ผู้ชอบธรรม”ซึ่งตกอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่วแต่ว่ายอมรับใช้ความถูกต้องและยอมทนทุกข์ยากลำบากเพราะความชอบธรรม…“ผู้ชอบธรรม” คือผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาในองค์พระเจ้าและนอบน้อมปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์…ในธรรมประเพณีของคริสตศาสนาซึ่งมองดูข้อความดังกล่าวนี้ว่าเป็นบทนำของความเป็นอริศัตรูจากผู้นำทางศาสนาของชนชาวยิวที่องค์พระเยซูเจ้าต้องสู้ทนรับแบกไว้พระองค์ทรงเป็น“ผู้รับใช้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน” ชั้นเลิศ…บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณนี้นำเสนอเนื้อหาสาระที่สอดคล้องกับพระวรสารและกับบทอ่านที่สองจากจดหมายของนักบุญยากอบที่บอกว่า “ที่ใดมีความอิจฉาริษยาและความทะเยอทะยานที่นั่นย่อมมีแต่ความวุ่นวายและความชั่วร้ายนานาชนิด…” (ยก3: 16-4: 3)
ในพระวรสาร…พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนายถึงพระทรมานของพระองค์เป็นครั้งที่สองและเป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกอัครสาวกไม่เข้าใจตรงข้ามเนื่องจากพวกเขาถูกขับเคลื่อนจากความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัวพวกเขากลับถกเถียงกันว่าใครแต่ในพวกเขาจะเป็นคนใหญ่สุดความทะเยอทะยานแบบนี้จะถูกพระเยซูเจ้าและนักบุญยากอบตำหนิเอา
มิใช่ความทะเยอทะยานในตัวของมันเองที่ถูกสาปแช่งแต่เป็นความทะเยอทะยานในทางที่ผิดที่ทำเพื่อตัวเองต่างหาก…ความทะเยอทะยานในทางที่ผิดเป็นความทะเยอทะยานที่ต้องการมีอำนาจและเป็นใหญ่เหนือคนอื่นความทะเยอทะยานแบบนี้ที่สร้างควาขัดแย้งและความแตกแยกและเป็นภัยอันตรายอย่างยิ่งที่จะทำลายเอกภาพของหมู่คณะตรงข้ามความทะเยอทะยานในทางที่ถูกต้องและตรงไปตรงมาเป็นความต้องการที่จะรับใช้คนอื่นและการรับใช้แบบที่ดีที่สุดและโปร่งใสก็คือการรับใช้คนยากจนคนที่น่าสงสารคนที่ด้อยโอกาสคนที่สังคมไม่เหลียวแลคนที่ไม่สามารถให้อะไรเป็นการตอบแทนได้ฯลฯ
การเป็นคนที่มีความทะเยอทะยานมิใช่เป็นสิ่งผิด…ตรงข้ามกลับเป็นสิ่งที่ดีที่ในชีวิตของแต่ละคน…การเป็นคนมีความทะเยอทะยานจะทำให้เรามีเป้าหมายในชีวิตมีความต้องการที่จะเป็นคนดีและมีความพยายามที่จะบรรลุให้ถึงแต่เราก็ควรจะต้องระมัดระวังมิให้เราต้องยอมสละสิ่งอื่นๆที่มีค่านิยมสูงส่งกว่าเช่นชีวิตครอบครัวความชอบธรรมความมีใจโอบอ้อมอารีฯลฯเพื่อความสำเร็จของความทะเยอทะยานนั้น
ความทะเยอทะยานในทางที่ผิดอันเป็นพลังขับเคลื่อนในชีวิตของเรานั้น สามารถเป็นสาเหตุให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างโหดร้ายหรืออย่างอยุติธรรม…เพราะ“มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่จะได้โลกทั้งโลกเป็นกำไรแต่ต้องเสียชีวิต”
ในพระวรสารเราเห็นพวกอัครสาวกกำลังถกเถียงแก่งแย่งชิงดีกันเพื่อจะได้เป็นที่หนึ่งในพระอาณาจักรสวรรค์ภาพที่ว่านี้มิได้เป็นภาพที่สร้างสรรค์เลยเพราะว่าพวกเขากำลังถูกขับเคลื่อนจากความเห็นแก่ตัวและความทะเยอทะยานในทางที่ผิดอันแสดงให้เห็นว่าพวกเขาได้เรียนรู้จากองค์พระเยซูเจ้าช่างน้อยนิดเสียเหลือเกินพวกเขายังแทบไม่ได้เข้าใจถึงพันธกิจที่พวกเขาต้องกระทำหลังจากที่พระองค์จะไม่ได้อยู่กับพวกเขาพระเยซูเจ้าได้ทรงเรียกพวกเขาให้เข้ามาพร้อมหน้าพร้อมตากันพลางให้บทเรียนถึงความหมายของความยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
พระเยซูเจ้ามิได้ทรงลบล้างความทะเยอทะยานแต่พระองค์ได้ทรงปรับปรุงให้ดีขึ้นเป็นความทะเยอทะยานที่จะเข้ามาแทนที่ความอยากที่จะเป็นเจ้านายมีอำนาจเหนือคนอื่นให้กลับกลายเป็นความทะเยอทะยานที่คอยรับใช้ผู้อื่น
ความทะเยอทะยานในทางที่ผิดเกิดจากความอิจฉาริษยาและความเห็นแก่ตัวที่สามารถก่อให้เกิดความชั่วร้ายอย่างอื่นๆอีกมากมายเช่นการใช้ความรุนแรงการคิดที่จะทำร้ายและทำลายผู้อื่นฯลฯ
พระเยซูเจ้ามิได้บอกพวกอัครสาวกว่าไม่ให้มีความทะเยอทะยานแต่พระองค์ได้ทรงแสดงให้เห็นว่าความยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นสามารถพบได้ที่ไหนมิใช่อยู่ที่การเป็นนายเหนือคนอื่นแต่อยู่ที่เป็นผู้รับใช้เพื่อนพี่น้องต่างหากโดยเฉพาะอย่างยิ่งรับใช้เพื่อนพี่น้องที่น่าสงสารที่ด้อยโอกาสของสังคมหมู่คณะ
เป็นการง่ายกว่าที่จะรับใช้คนใหญ่คนโตเพราะเรารู้สึกว่าเราได้รับเกียรติจากการที่เราคบหาสมาคมกับคนเหล่านั้นทั้งมีโอกาสที่ดีกว่าที่จะได้รับรางวัลตอบแทนแต่ว่าการทดสอบที่แท้จริงจะอยู่ที่การรับใช้คนที่ต่ำต้อยที่สุดเพราะเราไม่สามารถที่จะได้รับการตอบแทนจากคนพวกนี้พระเยซูเจ้าเองได้ทรงกล่าวไว้ว่า“ใครก็ตามที่ต้อนรับเด็กเล็กๆเช่นนี้ก็เท่ากับต้อนรับเรา” คำว่า“ต้อนรับ” ในที่นี้ก็คือ“การรับใช้” นั่นเองและคำว่า“เด็กเล็กๆ” ก็คือ“เพื่อนพี่น้องที่อ่อนแอที่สุดของสังคมหมู่คณะซึ่งเป็นผู้ที่มีความต้องการมากที่สุด” ดังนั้นการรับใช้ที่เราให้กับคนที่น่าสงสารมากที่สุดจึงเป็นการรับใช้ที่ดีที่สุดและพระเยซูเจ้าเองได้ทรงวางแบบอย่างให้แก่พวกเราในเรื่องนี้แม้ว่าพระองค์จะได้รับอำนาจอาชญาสิทธิ์จากพระเจ้าที่จะมีอำนาจเหนือบรรดาสิ่งสร้างทั้งหลายตรงข้ามพระองค์กลับใช้อำนาจนั้นในการรับใช้ผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจนน่าสงสารคนป่วยคนด้อยโอกาสฯลฯ
เราจะได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ขององค์พระเยซูเจ้าในภาพของการพิพากสุดท้ายว่า“เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่งท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มธ25: 40)
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์