ข้อคิดอาทิตย์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ปี B
มก 13: 24-32…“บุตรแห่งมนุษย์จะทรงใช้ทูตสวรรค์ ไปรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายแผ่นดินจนสุดขอบฟ้า…ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย”…
เราต้องขอบคุณบรรดาผู้นิพนธ์พระวรสารที่ทำให้พระวาจาของพระเจ้ายังคงอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้และจนถึงวันสิ้นโลก พระวาจานี้จะต้องอยู่กับเราตลอดไป เพื่อสอนเรา นำเรา เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรา บรรเทาใจเราและคอยท้าทายเรา…ดังนั้นให้เราได้ตั้งใจฟังพระวาจาของพระเจ้าและนำเอาพระวาจาเหล่านั้นมาเป็นชีวิต
ข้อคิด…บทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือประกาศกดาเนียล (ดนล 12: 1-3) ได้นำเสนอส่วนหนึ่งของภาพนิมิตที่ท่านประกาศกได้เห็นเกี่ยวกับวันเวลาสุดท้ายแห่งสากลจักรวาล เป็นที่น่าสังเกตุว่าเป็นครั้งแรกในพระคัมภีร์ที่มีการกล่าวถึงความเชื่อในการกลับคืนชีพของผู้ตายและชีวิตนิรันดร…”คนจำนวนมากที่หลับอยู่ในผงคลีดินจะตื่นขึ้น บางคนจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดรและบางคนจะได้รับความอัปยศอดสูตลอดนิรันดร”…
ส่วนในพระวรสารของนักบุญมาระโกวันอาทิตย์นี้ (มก 13: 24-32)ก็พูดถึงเหตุการณ์ส่วนหนึ่งในอวสานตกาลซึ่งจริงๆแล้วได้อุบัติขึ้นแล้วในยุคแรกๆของพระศาสนจักร เช่นการเบียดเบียนบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าในศาลาธรรม ต้องไปยืนให้การต่อหน้าผู้ว่าฯและกษัตริย์ อันทำให้นักบุญมาระโกเชื่อว่าการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระเยซูเจ้ากำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้าซึ่งเป็นความเชื่อของบรรดาสัตบุรุษในยุคเวลาต้นๆของพระศาสนจักรด้วย
แต่วันเวลาจริงของการสิ้นสุดของสากลจักรวาลนั้น พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงล่วงรู้ ดังนั้น บรรดาศิษย์จะต้องไม่ยอมให้ถูกชักชวนให้หลงตามการคาดคะเนว่าวันเวลาสุดท้ายกำลังอยู่ใกล้ตัวแล้ว แต่ว่าพวกเขาจะต้องเตรียมพร้อมตื่นเฝ้าให้ดีๆ จุดประสงค์ของการเสด็จกลับมาอย่างรุ่งโรจน์อีกครั้งหนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น มิใช่เพื่อทำการพิพากษาไต่สวน แต่เพื่อรวบรวมบรรดาผู้ได้รับเลือกสรร…การเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระเยซูเจ้าจึงเป็นการพบปะของเรากับบุตรแห่งมนุษย์เมื่อเราจะได้ผ่านจากชีวิตนี้ไปสู่ชีวิตนิรันดร
“ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย”…เป็นพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ทรงกล่าวกับพวกเราในพระวรสารวันนี้
ตลอดทั้งชีวิตของเรา เราได้ยินคำพูดมากมายจนนับไม่ถ้วนรวมทั้งคำพูดที่เราได้พูดกันก็มากมายนับไม่ถ้วนเช่นกัน และคำพูดส่วนใหญ่ เรามักจะจำไม่ได้ แต่ที่จำได้ก็มีเหมือนกัน คำพูดส่วนใหญ่ที่เราจำได้ จะเป็นสองประเภทด้วยกัน คือ ไม่ก็เป็นคำพูดที่ประทับใจเรามากที่สุด หรือไม่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้เราเจ็บแค้นมากที่สุด คำพูดทั้งสองประเภทนี้ บางทีเราจะจำไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว
คำพูดมีความสำคัญและมีพลังอย่างมากทีเดียว เมื่อคำพูดหลุดออกจากปากของผู้พูดแล้ว จะมีผลทั้งต่อตัวผู้พูดเองและต่อผู้ฟังด้วย อันจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาหรือผลลัพธ์ทั้งในทางบวกหรือทางลบก็ได้ คำพูดสามารถนำพระพรหรือคำสาปแช่ง นำการเยียวยารักษาหรือบาดแผล นำชีวิตหรือความตายมาให้ก็ได้ทั้งนั้น คำพูดสามารถทำร้ายเรา ทำให้เราเจ็บปวด หรือเป็นคำพูดที่ช่วยเรา ให้กำลังใจแก่เรา ดังนั้น ก่อนที่เราจะพูดอะไรออกไป ก็ควรจะได้ไตร่ตรองให้ดีๆเสียก่อน
เมื่อเราโกรธ หรืออยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียว ควรจะสงบนิ่งดีกว่า ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น คำพูดที่พูดอออกไป ขณะกำลังโกรธ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะอาจจะทำร้ายคนอื่นลึกๆ และยากที่จะทำการสมานฉันท์ได้
ให้คำพูดของเราเลือกชีวิต แทนที่ความตาย เลือกพระพร แทนคำสาปแช่ง
พระเยซูเจ้าทรงตรัสว่า “ฟ้าดินจะล่วงพ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่ล่วงพ้นไปเลย”…พระวาจาของพระเยซูเจ้านี้ยังคงอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้ พระวาจาของพระองค์ให้กำลังใจเรา นำเรา และท้าทายเรา พระวาจาของพระองค์ช่วยเปลี่ยนแปลงค่านิยมเดิมๆของเรา ซึ่งทำให้เมื่อเราฟังพระวาจาของพระองค์แล้ว เราก็จะไม่สามารถลืมได้
พระวาจาของพระเยซูเจ้า จะไม่ก่อประโยชน์อะไรให้กับเรา ถ้าหากเราจะไม่ได้นำเอามาปฏิบัติ นำมาเป็นชีวิตจิตใจของเรา พระวาจานี้เปรียบเสมือเมล็ดพันธุ์ ถ้าเราทิ้งไว้ในภาชนะหรือในยุ้งในฉาง มันก็คงเป็นเมล็ดอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าเราเอามันเพาะลงดิน เพาะลงในชีวิตของเรา มันก็จะผลิตผลมากมาย
พระวรสารเป็นคู่มือชีวิตของคริสตชนทุกๆคน…แต่คำพูดของมนุษย์ไม่จีรังยั่งยืน เปลี่ยนแปลงได้ทุกขณะทุกวัน ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่เหมือนกับพระวาจาของพระเยซูเจ้าซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงหรือล่วงพ้นไป ดังนั้น ให้เราสร้างบ้านแห่งชีวิตนิรันดร์ของเราบนพระวาจาของพระองค์
มีหลายๆคนอวดอ้างว่าตนรู้ว่าเมื่อใดจะสิ้นโลก เพราะได้รับการเผยแสดงอย่างพิเศษจากพระเยซูเจ้าหรือจากแม่พระ หรือจากการคำนวณวันเวลาจากพระวาจาในพระคัมภีร์ เราจะต้องไม่ความเชื่อในพระเจ้าให้ความมั่นใจกับพวกเราว่าโลกของเรายังมิได้หมุนไปสู่จุดจบของมันแต่อย่างใด แต่ว่ามันกำลังหมุนไปสู่ความสำเร็จขั้นบริบูรณ์ ไปสู่ชัยชนะที่พระเยซูเจ้าได้ทรงนำมาให้ด้วยการสิ้นพระชนม์และการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ เพราะพระองค์ได้ทรงมีชัยชนะเหนือบาปและความตาย…เราจึงควรจะห่วงกังวลและให้ความใส่ใจกับโชคชะตาของเราแต่ละคนเมื่อเราจะต้องตายลาจากโลกใบนี้ไปรับมงกุฎแห่งชัยชนะหรือไปรับโทษ มากกว่าที่จะต้องไปรู้ถึงวันสิ้นโลกซึ่งอยู่นอกเหนือการกำกับดูแลของเรามนุษย์
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์