ข้อคิดอาทิตย์ที่ 1 เทศกาลมหาพรตปีC
ลก4: 1-13…พระจิตเจ้าทรงนำพระเยซูเจ้าไปยังถิ่นทุรกันดารทรงถูกปีศาจผจญเป็นเวลา40 วัน…และเมื่อปีศาจทดลองพระองค์ทุกวิถีทางแล้วจึงแยกจากพระองค์ไป…
เมื่อวันพุธที่แล้วซึ่งเป็นวันพุธรับเถ้าพระศาสนจักรได้เชิญชวนพวกเราให้เริ่มต้นออกเดินทางแห่งชีวิตเป็นการเดินทางแห่งชีวิตในช่วงเทศกาลมหาพรตมุ่งไปสู่การสมโภชปัสกาขององค์พระเยซูเจ้าพวกเราเป็นประชากรที่ได้รับศีลล้างบาปแล้วแต่ยังมิได้เจริญชีวิตคริสตชนอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามพันธะแห่งศีลล้างบาปที่ได้รับ… เทศกาลมหาพรตจึงเรียกร้องพวกเราให้ทำการกลับใจด้วยการเปลี่ยนแปลงหัวใจและใช้ชีวิตตามจิตตารมณ์พระวรสารอย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น…เราเห็นพระเยซูเจ้าได้ทรงต่อสู้กับการประจญและเอาชนะได้พระองค์จะทรงช่วยเราให้เอาชนะการประจญต่างๆถ้าเราจะได้เชื่อศรัทธาในพระองค์และอธิษฐานภาวนาทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์
ข้อคิด…บทอ่านทั้งสามบทของพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณในวันนี้พูดถึงความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าและความซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า…
ในบทอ่านแรกจากหนังสืออพยพ(อพย26: 4-10) ได้พูดถึงการถวายผลผลิตแรกของฤดูเก็บเกี่ยวแด่พระเจ้าเพราะเป็นโอกาสที่ประชาชนจะได้ขอบพระคุณพระองค์มิใช่เฉพาะสำหรับพระพรของการเก็บเกี่ยวเท่านั้นแต่สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้พวกเขาในอดีตและโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ได้ช่วยพวกเขาได้อพยพออกจากประเทศอียิปต์
ในบทอ่านที่สองจากบทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม(รม10: 8-13)…เป็นรูปแบบของการแสดงออกซึ่งความเชื่อของคริสตชนว่า“พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพราะบาปของเราและได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อให้เราได้เป็นผู้ชอบธรรม”เราต้องยืนยันความเชื่อนี้มิใช่ด้วยริมฝีปากของเราเท่านั้นแต่ต้องยืนยันด้วยการเจริญชีวิตเยี่ยงคริสตชนที่ดีด้วย
ส่วนในพระวรสารนั้นนักบุญลูกา(ลก4: 1-13) ได้เล่าเรื่องการที่พระเยซูเจ้าทรงถูกมารปีศาจทดลอง…การทดลองพระเยซูเจ้านี้ประกอบด้วย3 ฉากและพระองค์ทรงได้ใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับพระภารกิจของพระองค์
คริสตชนบางคนยังมีความเข้าใจว่าพระเยซูเจ้าไม่สามารถถูกผจญหรือถูกทดลองได้ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องเพราะพระเยซูเจ้าแม้ว่าจะมีธรรมชาติพระเจ้าแต่พระองค์ก็มีธรรมชาติมนุษย์ด้วยที่จริงการถูกผจญในตัวของมันเองมิใช่เป็นบาปมนุษย์เราทุกคนต่างก็มีการผจญถูกทดลองด้วยกันทั้งนั้นจะแตกต่างกันก็ตรงที่มากน้อยต่างกันและมีความรุนแรงไม่เท่ากันดังนั้นพระเยซูเจ้าในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเราการที่พระองค์ถูกมารปีศาจผจญนั้นจึงเป็นเรื่องจริงคือพระองค์ถูกผจญจริงๆ
การผจญฉากที่หนึ่ง…มารปีศาจต้องการให้พระเยซูเจ้าเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปังคำว่า“ขนมปัง” ในที่นี้จะต้องมีความหมายรวมไปถึงสิ่งของต่างๆที่จับต้องได้ของโลกนี้…มารผจญบอกให้พระองค์ใช้อำนาจพิเศษของพระองค์จัดหาสิ่งของต่างๆที่มนุษย์ต้องการเพื่อตอบสนองความอยากหรือความต้องการของพวกเขาแต่พระเยซูเจ้าทรงทราบดีว่าสิ่งของต่างๆเหล่านี้จะไม่มีวันตอบสนองทำให้มนุษย์พึงพอใจหรืออิ่มได้เลยเพราะพระภารกิจหลักของพระองค์ก็คือต้องการเลี้ยงดูจิตใจและหัวใจของมนุษย์ด้วยพระวาจาของพระเจ้าอันจะทำให้เขาอิ่มจริงๆและอิ่มนานๆ
การผจญนี้เพียงแต่ต้องการทำให้ฝูงชนอิ่มเฉพาะเป็นครั้งคราวเท่านั้นซึ่งอาจจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆพวกเขาอาจจะมีความต้องการอะไรบางอย่างที่มากกว่าอาหารหรือสิ่งของต่างๆอันสามารถสนองความหิวกระหายของเขาได้อย่างแท้จริงและตลอดไปพระเยซูเจ้าเองก็ได้เคยบอกพวกเราว่า“อย่าทำงานเพื่ออาหารที่ไม่ยั่งยืนแต่จงทำงานเพื่ออาหารที่คงอยู่ตลอดไปสำหรับชีวิตนิรันดร์” คนเราโดยทั่วๆไปมักจะให้ความสำคัญแก่อาหารฝ่ายร่างกายมากกว่าอาหารฝ่ายวิญญาณถ้าหากมนุษย์เราให้ความสนใจแต่เรื่องของอาหารฝ่ายกายและละเลยอาหารฝ่ายจิตก็อาจจะทำให้เรามีความเป็นมนุษย์น้อยลงไป
การผจญฉากที่สองเป็นความต้องการที่จะตั้งอาณาจักรทางการเมืองซึ่งถือว่าอำนาจเป็นเรื่องใหญ่สุดส่วนเรื่องของความรักนั้นแทบจะถูกมองข้ามไปเลย…เป็นการง่ายกว่ามากที่จะปกครองประชาชนด้วยการใช้อำนาจมากกว่าการใช้ความรัก…ง่ายที่จะมีอำนาจเหนือประชาชนมากกว่าที่จะรับใช้พวกเขา…พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาในโลกนี้เพื่อรับใช้มิใช่เพื่อเป็นนาย…พระองค์มิได้มีท่าทีที่แสดงความหวงแหนความเป็นพระเจ้าของพระองค์แต่ได้ถ่อมองค์ลงจนถึงที่สุดจนยอมตายที่ไม้กางเขนและได้กลายเป็นผู้รับใช้ของทุกคน…เรามนุษย์ก็เหมือนๆกันมักจะถูกผจญให้อยากใช้อำนาจมากกว่าใช้ความรักและอยากให้คนอื่นรับใช้มากกว่าที่จะเป็นผู้รับใช้
การผจญฉากที่สามเป็นการสร้างกิจกรรมอะไรบางอย่างที่ตื่นเต้นระทึกใจทำให้เป็นที่ถูกอกถูกใจของคนดูคือการให้พระเยซูเจ้ากระโดดลงจากยอดพระวิหารเพื่อที่จะทดสอบว่าพระองค์จะทำอย่างไรพระองค์ทรงเข้าใจดีว่าการทดสอบแบบนี้มิใช่ทำไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงเกียรติมงคลของพระเจ้าแต่เพื่อจะอวดตัวเองว่ามีฤทธิ์เดชต่างหากพระองค์จึงปฏิเสธที่จะกระโดดลงมาจากยอดพระวิหารเพื่อสนองความอยากของคนบางคน
ตลอดชีวิตสาธารณะของพระเยซูเจ้าประมาณเกือบสามปีนั้นพระองค์ทรงปฏิเสธที่จะทำอัศจรรย์ในทำนองนี้ให้กับประชาชนเพราะเชื่อว่าจะไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพวกเขามีแต่จะทำให้ความเชื่อของพวกเขาอ่อนแอลง…ความเชื่อมิใช่เป็นเรื่องของมายากลความศักดิ์สิทธิ์มิได้อยู่ที่ความพยายามทำให้พระเจ้ากระทำในสิ่งที่ตนเองต้องการแต่อยู่ที่เราทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการจากเรามากกว่า
พระเยซูเจ้ามีชีวิตที่ต้องเผชิญกับการผจญเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นมนุษย์ของพระองค์ดังนั้นขณะที่เรากำลังอยู่ในเทศกาลมหาพรตขอให้เราได้ถามตัวเองว่าเราได้เผชิญหน้ากับการผจญอย่างไรเมื่อชีวิตเราลำบากเราหิวเราอดอยากรู้สึกโดดเดี่ยวเราเผชิญกับปัญหาหนักๆเรายังมีความเชื่อความไว้วางใจและความรักในพระเจ้าหรือไม่ประการใดซึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาที่สามารถเกิดขึ้นจริงๆกับชีวิตของเราเราจะสามารถต่อสู้และเอาชนะการผจญนี้ได้หรือเปล่าแน่นอนคงมิใช่เป็นอะไรที่ง่ายๆ
ขอให้พระทรมานการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า ได้เป็นพระพรพละกำลังและกำลังใจให้กับเราแต่ละคนที่จะเอาชนะการผจญของมารปีศาจที่มาในรูปแบบต่างๆ
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์