ข้อคิดอาทิย์ที่ 3 เทศกาลปัสกาปีC
ยน21:1-19…นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาศิษย์หลังจากที่ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย…
แม้ว่านักบุญเปโตรจะได้ปฏิเสธพระเยซูเจ้าพระอาจารย์…พระองค์ก็มิได้ลบชื่อของท่านออกจากบัญชีอัครสาวกแต่ยังทรงยืนยันให้ท่านเป็นหัวหน้าผู้เลี้ยงฝูงแกะของพระองค์…เช่นเดียวกันพระเยซูเจ้าก็มิได้ลบชื่อเราออกเมื่อเราพลาดพลั้งแต่พระองค์ทรงให้โอกาสเราที่จะกลับใจทำการลบล้างข้อผิดพลาดต่างๆเหล่านั้นด้วยความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราแต่ละคน
ข้อคิด…เรื่องราวการเสด็จกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้ายังคงมีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือพวกอัครสาวกของพระองค์ยังคงจำพระองค์ไม่ได้ทันทีต้องใช้เวลาและต้องอาศัยเครื่องหมายหรือสัญญาณอะไรบางอย่างเช่นคำพูดหรือกิริยาอาการอะไรบางอย่างที่คุ้นๆอันช่วยทำให้เข้าใจว่าการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้านั้นมิใช่เป็นการกลับไปสู่ชีวิตแบบเดิมๆเหมือนก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนพระเยซูเจ้าได้กลับคืนพระชนมชีพไปสู่ชีวิตใหม่ที่อยู่นอกเหนือความตายแน่นอนเป็นพระเยซูเจ้าองค์เดียวกันแต่ว่าได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้ว
บัดนี้พระองค์ไม่ได้เป็นอย่างที่พระองค์ทรงเคยเป็นแต่พระองค์ยังเป็นพระผู้ที่พระองค์ได้เคยเป็น
พระองค์ทรงเป็นของโลกใหม่หรือของมิติใหม่เป็นโลกหรือมิติของจิตมิใช่เป็นของโลกที่เรามีชีวิตกันอยู่ในขณะนี้ซึ่งเป็นโลกของสสารหรือโลกที่จับต้องได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าดังนั้นจึงมิใช่ทุกคนที่จะสามารถแลเห็นองค์พระผู้กลับคืนพระชนมชีพได้ดังที่นักบุญลูกาบอกกับเราในหนังสือกิจการของอัครสาวกบทที่10: 40-41 ว่า…พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้ากลับคืนพระชนมชีพในวันที่สามและโปรดให้พระองค์แสดงพระองค์มิใช่แก่ประชาชนทั้งปวงแต่ทรงแสดงพระองค์แก่บรรดาพยานที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้วคือเราทั้งหลายที่ได้กินและได้ดื่มกับพระองค์หลังจากที่ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย…ดังนั้นพยานที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้วก็คือบรรดาอัครสาวกและบรรดาผู้มีความเชื่อศรัทธาในพระองค์เท่านั้นที่จะสามารถแลเห็นและสัมผัสพระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ
การจับปลาได้มากมายอย่างน่างมหัศจรรย์นั้นเป็นสัญลักษณ์ถึงพันธกิจที่พระเยซูเจ้าทรงให้บรรดาอัครสาวกเป็นชาวประมงหามนุษย์คือการพาคนอื่นให้มาหาพระเยซูเจ้าโดยอาศัยพระหรรษทานและความช่วยเหลือของพระองค์
ส่วนเมื้ออาหารนั้นก็เป็นสัญลักษณ์ของศีลมหาสนิท ที่พระเยซูเจ้าทรงมาอยู่ท่ามกลางบรรดาคริสตชนและประทานพระองค์เองให้เป็นอาหารเลี้ยงพวกเขา
และการเรียกนักบุญเปโตรมาสอบถามก็ทำให้คิดถึงการเรียกของพระเยซูเจ้าครั้งแรกในพระวรสารของนักบุญมาระโก(1: 16-18) ที่พระองค์ขณะเริ่มต้นชีวิตสาธารณะท่ามกลางประชาชนทรงเรียกนักบุญเปโตรและแอนดรูว์น้องชายและยาก๊อบกับยอห์นน้องชายบุตรของเศเบดีซึ่งมีช่วงระยะเวลาห่างกันประมาณสามปีซึ่งในช่วงระยะเวลานี้นักบุญเปโตรได้ค้นพบอะไรต่างๆมากมายในพระบุคคลที่ได้ทรงเรียกท่านให้มาเป็นชาวประมงหามนุษย์ได้เรียนรู้พันธกิจของพระองค์ที่จะทรงมอบหมายให้กับท่านและบรรดาเพื่อนๆผู้ร่วมงานของท่าน…และโดยเฉพาะอย่างยิ่งได้ทำให้ท่านได้เรียนรู้จักตัวเองมากขึ้นคือตัวตนที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอดังนั้นการเรียกครั้งที่สองของพระเยซูเจ้าที่ให้ติดตามพระองค์นั้นท่านก็ฉลาดขึ้นและเป็นคนที่มีความสุภาพมากขึ้น…อย่างไรก็ตามเรื่องราวของนักบุญเปโตรนี้เป็นแบบอย่างอีกอย่างหนึ่งของการเรียกของพระเจ้า เรียกแล้วเลือกแล้วก็อาจจะมีการพลาดพลั้งไปบ้างแล้วพระเจ้าก็ทรงเรียกอีกแล้วมนุษย์คนนั้นก็อาจจะพลาดพลั้งอีกอาจจะเป็นดังนี้หลายๆครั้งแต่พระเจ้าจะไม่มีวันเลิกเรียกคนๆนั้นเพียงแต่ขอให้เขาคนนั้นพร้อมที่จะกลับมาหาพระองค์ทุกๆครั้งที่พระองค์ทรงเรียกเขานี่แหละคงเป็นตัวอย่างจริงของกระแสเรียกของเราแต่ละคน
กระแสเรียกทุกกระแสเรียกเป็นกระแสเรียกที่เรียกไปสู่ความรักความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนมนุษย์เหมือนกับที่พระเยซูเจ้าบอกกับนักบุญเปโตรในวันนี้ว่า“จงเลี้ยงดูลูกแกะของเราและจงเลี้ยงดูแกะของเรา”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์