ข้อคิดวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ปีC
ลก24: 46-53…ขณะที่ทรงอวยพระพรอยู่นั้นพระองค์ทรงแยกไปจากพวกเขาและทรงถูกนำขึ้นสู่สวรรค์…
วันนี้เราทำการสมโภชการได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าพระอาจารย์เจ้าของเราเมื่อพระบิดาเจ้าได้ทรงยกย่องพระองค์ขึ้นสู่พระอาณาจักรสวรรค์…และพระเยซูเจ้าเองทรงต้องการให้เราได้มีส่วนร่วมในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์นี้ด้วย…ให้เราได้ใช้เวลาสักครู่หนึ่งไตร่ตรองถึงพระสิริรุ่งโรจน์และพระอาณาจักรสวรรค์ที่พระองค์จะทรงประทานให้กับเราแต่ละคนหลังจากที่เราจะได้จบชีวิตของเราอย่างดีและอย่างศักดิ์สิทธิ์บนโลกใบนี้แล้ว.
ข้อคิด…ในวันสมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์เราสมโภชพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์พระผู้ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมรับทรมานและสิ้นพระชนม์บัดนี้ทรงเสวยราชย์ในพระสิริรุ่งโรจน์ณพระหัตถ์ขวาของพระบิดาเจ้า
แต่สิ่งที่แปลกคือเส้นทางที่นำพระองค์ไปสู่พระสิริรุ่งโรจน์นั้นกล่าวอย่างตรงไปตรงมาคือช่วงแรกๆนั้นบรรดาอัครสาวกเห็นว่าเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่ใครจะสามารถเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ได้โดยเส้นทางนี้นอกจากพระเมสสิยาห์และโดยผ่านทางการทนทุกข์ทรมานความเจ็บปวดและการสิ้นพระชนม์
พวกเขามีความหวังและมีความฝันว่าพระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้แต่เมื่อพระองค์ทรงต้องสิ้นพระชนม์ด้วยการถูกตรึงที่ไม้กางเขนความฝันของพวกเขาก็พลันสลายไป…พระเมสสิยาห์ผู้ต่ำต้อยและต้องถูกตรึงที่ไม้กางเขนเป็นสิ่งที่พวกเขาคิดไม่ถึงและรับไม่ได้พวกเขาแสวงหาคำตอบจากพระคัมภีร์แต่ไม่พบ
อย่างไรก็ตามจิตใจของพวกเขาค่อยๆเปิดออก…พวกเขาพบว่ามีวิธีการอื่นๆอีกในการมองพระคัมภีร์พวกเขาเริ่มมองเห็นว่าบรรดาประกาศกได้กล่าวทำนายไว้ล่วงหน้าแล้วว่าพระเมสสิยาห์จะทรงรับทรมานและสิ้นพระชนม์และจะเสด็จเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์พระองค์ทรงใช้หนทางที่แปลกเพื่อเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์และที่แปลกคือทุกคนสามารถเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์โดยทางความเสียสละและความทุกข์ได้เช่นเดียวกับพระองค์
จากมุมมองทางโลกนั้นชั่วโมงที่พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เป็นชั่วโมงของความล้มเหลวที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือเป็นชั่วโมงของความอับอายและอัปยศแต่ด้วยการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์นั้นพระเจ้าทรงเปลี่ยนให้เป็นชั่วโมงแห่งชัยชนะและพระสิริมงคลของพระองค์และเป็นชั่วโมงแห่งพระหรรษทานสำหรับเรามนุษย์ทุกคนด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์นั้นอยู่ห่างไกลจากจุดจบของความฝันเป็นวิธีที่ถูกต้องที่พวกเขาตระหนักดังนั้นบรรดาอัครสาวกจึงเริ่มเข้าใจในความหมายในการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าว่าเป็นการบรรลุถึงพระสิริรุ่งโรจน์โดยทางความทุกข์ที่เริ่มด้วยความเจ็บปวดและการสิ้นพระชนม์แต่ก็จบลงด้วยความชื่นชมยินดี
พระเยซูเจ้าทรงเสด็จสู่สวรรค์ประทับเบื้องขวาของพระบิดาที่จริงตำแหน่งนี้เป็นสิทธิของพระเยซูเจ้าในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าอยู่แล้วแต่พระองค์ทรงสละสิทธินั้นด้วยการเสด็จลงมาในโลกมนุษย์มาเป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันเราทุกอย่างยกเว้นความบาปและได้รับสิทธินี้กลับคืนมาด้วยการนบนอบเชื่อฟังและด้วยการรับใช้พระบิดาไม่ใช่เพราะความทุกข์ทรมานที่ทำให้พระองค์ได้รับพระสิริรุ่งโรจน์แต่เป็นชีวิตที่พระองค์ทรงมอบให้พระบิดาเจ้าอย่างสิ้นเชิง…พระเยซูเจ้ามิได้ทรงแสวงหาพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์เองแต่ทรงแสวงหาพระสิริมงคลของพระบิดาเจ้าของพระองค์หนทางที่นำพระเยซูเจ้าไปสู่พระสิริมงคลนั้นไม่ใช่เป็นหนทางที่ง่ายแต่ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่เพราะอะไรอื่นแต่เป็นเพราะความรัก
หลังจากเห็นพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์แล้วบรรดาอัครสาวกต่างก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็มด้วยความปลื้มปิติยินดี…เพราอะไร…เพราะบัดนี้พวกเขาได้รับความมั่นใจว่าพระเยซูเจ้าที่พวกเขารักนั้นยังทรงมีชีวิตอยู่และยังอยู่กับพวกเขาแม้ในลักษณะที่แลเห็นไม่ได้พระองค์ได้ทรงกระทำให้ความฝันของบรรดาศิษย์ของพระองค์และของเราทุกคนได้กลายเป็นจริงด้วยวิธีการที่ไม่คาดคิดพระองค์ทรงกระทำให้งานทุกชนิดของผู้ที่มอบความไว้วางใจในพระองค์กลายเป็นความดีเป็นความสำเร็จ…พระองค์ได้ทรงนำความดีออกมาจากความไม่ดีนำชีวิตออกมาจากความตายและทรงนำพระสิริรุ่งโรจน์ออกมาจากความเจ็บปวดและความทุกข์
มีบางเวลาในชีวิตของเราที่เราพบว่าตัวเราเองกำลังตกต่ำด้วยความเศร้าและความเจ็บปวดและอยู่บนหนทางแห่งความโดดเดี่ยวเราต้องระลึกไว้เสมอว่าเรามิได้อยู่เพียงลำพังองค์พระผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทรงอยู่ร่วมเดินทางแห่งชีวิตไปพร้อมๆกับเราและพระองค์ทรงทราบดีถึงความทุกข์ทั้งปวงของมนุษย์พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับเราเราสามารถได้รับพระสิริรุ่งโรจน์เช่นเดียวกับพระองค์โดยทางความทุกข์และความตายซึ่งจะช่วยทำให้เรื่องราวชีวิตของเรามีความหมาย…การสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้าให้ความหมายชีวิตมนุษย์ด้วยความหวังมิใช่เพียงแต่จะจบลงด้วยดีเท่านั้นแต่จะต้องจบลงด้วยพระสิริรุ่งโรจน์อีกด้วย
การสมโภชน์พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์นี้เกี่ยวข้องกับเรามากเท่ากับที่เกี่ยวข้องกับพระเยซูเจ้าเพราะการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์แสดงให้เราเห็นถึงเป้าหมายของการเดินทางชีวิตในโลกนี้ของเราและเรามีชีวิตอยู่ด้วยความหวังในพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับเราว่า“เราอยู่ที่ใดท่านจะอยู่ที่นั่นด้วย”…พระวาจานี้จะเป็นจริงสำหรับเราก็ต่อเมื่อเราจะได้ประกาศข่าวดีของพระองค์และเป็นประจักษ์พยานถึงพระองค์บนโลกใบนี้เช่นเดียวกับบรรดาศิษย์ของพระองค์
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์