ข้อคิดวันอาทิตย์ที่21 เทศกาลธรรมดาปีC
ลก13:22-30…จงพยายามเข้าทางประตูแคบเพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไปแต่จะเข้าไม่ได้…กลับถูกไล่ออกไปข้างนอก
พระเยซูเจ้าตรัสว่า“จะมีคนจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกทิศเหนือและทิศใต้มานั่งร่วมโต๊ะในพระอาณาจักรของพระเจ้า”…เราได้มาที่บ้านพระแห่งนี้จากที่ต่างๆกัน…ให้เราได้ขอบพระคุณพระเจ้าและวอนขอพระองค์ให้เราได้เป็นผู้เหมาะสมสำหรับจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระองค์
ข้อคิด…มีชายคนหนึ่งเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า“มีน้อยคนใช่ไหมที่เอาตัวรอด?”…ชายคนนั้นน่าจะเป็นชาวยิวซึ่งคาดหวังจะได้รับคำตอบว่าเฉพาะชาวยิวเท่านั้นที่จะสามารถเข้าพระอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ส่วนคนต่างศาสนาไม่มีสิทธิ์
พระเยซูเจ้าได้ทรงหยิบยกเอาคำถามของชายคนนี้ขึ้นมาใช้เป็นคำเตือนสำหรับคนร่วมสมัยกับพระองค์ว่า…”จงพยายามเข้าทางประตูแคบเพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่าหลายคนพยายามจะเข้าไปแต่จะเข้าไม่ได้”…พระองค์กำลังต้องการจะบอกกับพวกชาวยิวว่าพวกเขากำลังอยู่ในอันตรายที่จะไม่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าเพราะพวกเขามิได้ใส่ใจที่จะกลับใจตามคำเรียกร้องของพระองค์
เราคงเคยได้สังเกตุเห็นว่าประตูกลางของปราสาทพระราชวังหรือของคฤหาสน์ใหญ่โตหรือของโรงแรมสี่ดาวห้าดาวมักจะเป็นประตูที่กว้างใหญ่บุคคลเข้าออกได้สะดวกขอเพียงแต่ให้แต่งตัวหรูหราดูเหมือนเป็นคนมีตำแหน่งมีฐานะโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนดีมีศีลธรรมหรือมีมนุษยธรรมแต่อย่างใด
แต่ว่าในเวลาเดียวกันในอาคารใหญ่โตที่ว่านี้ก็มักจะมีประตูเล็กๆแคบๆอยู่ด้วยเสมอและเพื่อที่จะสามารถเข้าทางประตูเล็กๆแคบๆนี้ได้ จำเป็นต้องทำตัวให้เล็กให้ต่ำต้อยและต้องสลัดทิ้งสิ่งที่ทำให้ตัวรุ่มร่ามโดยไม่จำเป็นออกไปด้วย
ตัวอย่างของภาพทั้งสองคงจะช่วยให้เราได้เข้าใจสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการสอนพวกเราในวันนี้เมื่อพระองค์ทรงกล่าวว่า”จงพยายามเข้าทางประตูแคบ”…ทั้งยังจะช่วยให้เราได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์บอกกับผู้ที่ติดตามพระองค์ในอีกโอกาสหนึ่งว่า ”ถ้าหากพวกท่านมิได้กลายเป็นเหมือนเด็กเล็กๆเหล่านี้ท่านจะไม่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรเลย” เพราะว่าพวกเขาสามารถทำให้ตัวเองเล็กๆและสามารถเดินผ่านที่ว่างเล็กๆแคบๆได้
เราต้องไม่ทำผิดซ้ำซากเหมือนกับคนในสมัยของพระเยซูเจ้าซึ่งคิดว่าตนมีสิทธิที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรเมื่อใดก็ได้เพราะตนรู้จักพระเจ้ารู้จักพระบัญญัติของพระองค์แต่พระเยซูเจ้ากลับบอกว่าคนพวกนี้ว่าพวกเขานับถือพระเจ้าแต่ปากแต่ว่าจิตใจอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า
มีกี่คนที่ได้เข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า?…คงจะมีน้อยคนซินะตามที่พวกยิวในสมัยของพระเยซูเจ้าคิดและเข้าใจ…พระอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่คลับหรือสโมสรสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกเท่านั้นแต่ที่แน่ๆก็คือคนที่ได้รับการเตรียมตัวให้เข้าไปทางประตูแคบก็จะได้เข้าสู่พระอาณาจักร
เราจำเป็นต้องรำลึกอยู่เสมอๆว่าการเอาตัวรอดมิใช่เป็นอะไรบางอย่างที่เราสามารถหามาได้ด้วยอาศัยกำลังความสามารถของเราเอง…การเอาตัวรอดนั้นเป็นพระพรของพระเจ้าพระเยซูเจ้าได้ทรงเปิดประตูสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าให้กับทุกๆคนไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นคนบาปหรือเป็นนักบุญซึ่งโดยอาศัยความสุภาพและการเป็นทุกข์กลับใจพวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นผู้ที่ได้รับการคัดเลือกที่ดีกว่าคนที่เรียกตนเองว่าเป็นคนดีมีคุณธรรมเสียอีกขอให้เราได้คิดถึงโจรที่ดีคนนั้นซึ่งได้รับการต้อนรับเข้าสู่พระอาณาจักรณวินาทีสุดท้ายแห่งชีวิตของเขาเพราะเขาได้กลับใจและมีใจสุภาพที่จะยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรพระเจ้า
แน่นอนการเอาตัวรอดเป็นพระพรจากพระเจ้าแต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเราไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลยเราต้องเปิดหัวใจของเราสู่พระเจ้าและสู่เพื่อนพี่น้องของเราและต้องไม่อิจฉาเพื่อนพี่น้องที่พระเจ้าได้ทรงแสดงความรักและความเมตตาต่อพวกเขานอกนั้นเราสามารถเอาตัวรอดได้ก็เพราะเราได้รับการเตรียมตัวให้เข้าไปทางประตูแคบด้วยการปลดเปลื้องความสนุกสุขสนานแบบชาวโลกออกไปจากชีวิตของเรา…ยอมรับการเฆี่ยนตีของพระเจ้าด้วยยอมทนทุกข์ยากลำบากยอมรับความเจ็บปวดตามที่จดหมายถึงชาวฮีบรูในบทอ่านที่สองได้เตือนใจเราและการที่พระเจ้าทำเช่นนั้นก็เพราะเราเป็นบุตรของพระองค์แน่นอนพระเจ้าทรงรักผู้ที่พระองค์ทรงรับไว้เป็นบุตรเพราะการเฆี่ยนตีนั้นให้ผลเป็นสันติสุขและให้ผลเป็นความชอบธรรมแก่ผู้ที่ยอมรับการเฆี่ยนตีสั่งสอนว่าเป็นการฝึกฝนตนเองเป็นการพัฒนาให้ตัวเองดีขึ้นการเฆี่ยนตีสั่งสอนของพระเจ้าเป็นการชำระล้างจิตวิญญาณของตนให้สะอาดบริสุทธิ์และช่วยเปลี่ยนนิสัยที่ไม่ดีของตนได้การเฆี่ยนตีของพระเจ้านี้เป็นอะไรบางอย่างที่จำเป็นสำหรับชีวิตของมนุษย์เพราะจะทำให้เขามีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเป็นคนที่มีวุฒิภาวะมากขึ้นเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นมากขึ้นและรู้จักเมตตาสงสารผู้อื่นมากขึ้น
การเฆี่ยนตีของพระเจ้าเป็นเหมือนอาหารที่จำเป็นสำหรับสร้างคริสตชนให้มีวุฒิภาวะเราต้องไม่มองการเฆี่ยนตีของพระเจ้าว่าเป็นการลงโทษของพระองค์…พระเจ้าไม่เคยลงโทษใครการที่พระเจ้ายอมให้เรามนุษย์ต้องทนทุกข์ยากลำบากก็เพราะสิ่งที่ดีๆในตัวเราจะได้เกิดจากการทนทุกข์ยากลำบากนั้นความเจ็บปวดที่เราสู้ทนจะทำให้เราได้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นและเพราะในความทุกข์ยากลำบากหรือในความเจ็บปวดนั้นเราจะมีประสบการณ์แห่งฤทธิ์อำนาจและความรักของพระองค์และจะรู้จักเมตตาสงสารผู้อื่นที่ต้องทนทุกข์ยากลำบาก
การรู้จักเมตตาสงสารคนอื่นเราไม่สามารถเรียนรู้ได้โดยที่เราไม่เคยทนทุกข์ยากลำบากดังนั้นความทุกข์ยากลำบากเป็นเสมือนหนทางแคบที่พระเยซูเจ้าทรงแนะนำให้บรรดาศิษย์ของพระองค์เดินผ่านเพื่อเข้าไปสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์