ข้อคิดอาทิตย์ที่ 2เทศกาลธรรมดาปีA
ยน1: 29-34…นี่คือลูกแกะของพระเจ้าผู้ทรงลบล้างบาปของโลก…
พระเยซูเจ้าทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้าพระผู้ทรงลบล้างบาปของโลก…ให้เราเริ่มทำการเฉลิมฉลองพิธีบูชาขอบพระคุณนี้ด้วยการนำเอาบาปต่างๆของเรามาวางไว้เฉพาะพระพ้กตร์ของพระองค์พลางทูลขออภัยและการรักษาให้หายจากพระองค์
ข้อคิด…พระเยซูเจ้าทรงเป็น “ลูกแกะปัสกา” เพราะผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระองค์ได้ทรงช่วยโลกให้พ้นจากบาป เหมือนกับการเฉลิมฉลองปัสกาแต่กาลก่อนของประชากรผู้เลือกสรรที่เลือดของลูกแกะปัสกา ได้ช่วยชนชาวอิสราเอลให้พ้นจากเงื้อมมือของทูตสวรรค์ผู้ทำลายล้าง…และพระเยซูเจ้าก็ทรงเป็น “ผู้รับใช้ของพระเจ้า” ตามที่ท่านประกาศกอิสยาห์ได้บรรยายเอาไว้ว่าจะถูกนำเอาไปฆ่าโดยไม่ยอมปริปากร้องอะไรเลยเหมือนกับลูกแกะที่อยู่ต่อหน้าคนตัดขนแกะ…ผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นมนุษย์แห่งความทุกข์โศกซึ่ง “ยอมแบกบาปของคนเป็นจำนวนมากและได้เป็นทูตนำเสนอต่อพระเจ้าเพื่อคนที่ได้ล่วงละเมิด” ดังนั้นบทเริ่มต้นของพระวรสารของนักบุญยอห์น จึงได้สรุป “คริสตศาสตร์” ทั้งหมดไว้ดังนี้ “พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้สถิตอยู่แต่นิรันดร์ พระผู้ต้องสิ้นพระชนม์เฉกเช่นลูกแกะปัสกาและผู้รับใช้ที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพราะบาปของคนทั้งหลาย และได้ทรงประทานพระจิตศักดิ์สิทธิ์มายังชนชาติอิสราเอลใหม่”
เมื่อท่านยอห์น แบปติสต์ พูดถึงพระเยซูเจ้าว่า “นี่คือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ทรงลบล้างบาปของโลก” ก็เท่ากับเป็นการเอ่ยถึงพันธกิจของพระเยซูเจ้า พันธกิจของพระเยซูเจ้านั้น มุ่งตรงไปหาคนบาปเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเป็นผู้รับใช้ท่านนั้นซึ่งการเสด็จมาของพระองค์ได้ถูกพยากรณ์เอาไว้จากท่านประกาศกอิสยาห์แล้ว และพันธกิจของพระองค์ก็คือการนำคนบาปให้กลับมาหาพระเจ้า…แต่พระองค์จะกระทำการนี้ได้อย่างไร?…
…ในสมัยของพระธรรมเก่า ณ วันที่จะต้องมีพิธีใช้โทษบาปชนชาวยิวจะเลือกเอาลูกแพะตัวหนึ่ง พระสงฆ์ผู้ประกอบพิธีจะทำรายการบาปต่างๆของประชาชน และในขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้พวกเขาได้กลับใจเป็นทุกข์ถึงบาป พลางวางมือลงบนหัวของแพะตัวนั้น แล้วก็กดมือลงไป อันเป็นการวางบาปลงบนตัวแพะ แล้วนั้นหลังจากที่แพะตัวนั้นได้แบกบาปของประชาชนไปแล้ว ก็ปล่อยให้แพะนั้นเข้าไปในถิ่นทุรกันดารต่อไป
จากพิธีกรรมอันเป็นสัญลักษณ์นี้ ท่านยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง ก็คงได้นำเอามาใช้กับพระเยซูเจ้าในความหมายที่ว่าพระองค์ได้ทรงลบล้างบาปของเรามนุษย์จริงๆ โดยที่ได้ทรงทิ้งบาปต่างๆเหล่านั้นของเราไว้เบื้องหลังให้กลายเป็นอดีตไป เมื่อเรามนุษย์ได้รับการอภัยบาปแล้ว บาปซึ่งเป็นภาระอันหนักอึ้งสำหรับเรามนุษย์ ก็ได้ถูกยกให้พ้นไปจากตัวเราด้วย และดังนี้เราก็สามารถมุ่งไปข้างหน้าได้อย่างอิสระและอย่างมีความชื่นชมยินดี
อย่างไรก็ตาม เรายังต้องแสดงความรับผิดชอบต่อบาปของเรา แม้ว่าเราจะได้รับการอภัยบาปแล้วก็ตาม ก็มิใช่ว่าแต่นี้ต่อไปทุกอย่างดีๆจะเกิดขึ้นกับตัวเราแบบอัตโนมัติ เราจะยังไม่ได้กลายเป็น “คนใหม่” ในทันทีทันใด ความอ่อนแอ นิสัยที่ไม่ดีและความอยากที่ไม่เป็นระเบียบ ก็จะยังอยู่ในตัวเรา ทั้งนี้ก็หมายความว่าเราจะต้องทำการต่อสู่ดิ้นรนไปเรื่อยๆจนกว่าชีวิตจะหาไม่
บาปมิใช่เป็นอะไรที่เรามนุษย์จะทำการลบล้างให้ออกไปจากตัวเราได้ง่ายๆ ความบาปและบาปนั้นไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกัน บาปเป็นเหมือนเงื่อนไขที่เราจะต้องอยู่และใช้ชีวิตกับมัน และเป็นพระเยซูเจ้าเองที่ได้ทรงมาช่วยไถ่กู้เรามนุษย์ให้พ้นจากเงื่อนไขนี้ เพื่อให้เราสามารถมีชีวิตใหม่ในพระเจ้า…
พระเยซูเจ้าทรงทำอย่างไรเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของเรามนุษย์?…พระองค์ทรงทำการเปลี่ยนแปลงมิใช่ด้วยการทำโทษหรือให้พวกเขาออกไปห่างๆจากพระเจ้า แต่ด้วยการเป็นเพื่อนกับพวกเขา ด้วยการชักชวนให้พวกเขาหันมาทำความดีเพราะจะเป็นหนทางที่เรามนุษย์จะสามารถเอาชนะความไม่ดีต่างๆได้ และศีลอภัยบาปจะเป็น “ตัวช่วย” ที่ดีที่สุด เพราะจะเป็นที่ที่เราจะได้รับประสบการณ์แห่งความรักที่พระเจ้าและพระเยซูเจ้าทรงมีต่อเรามนุษย์ทุกๆคน
การมีชัยชนะเหนือบาป จะค่อยๆเกิดขึ้นไปเรื่อยๆตลอดชีวิตมนุษย์ เราจึงต้องไม่หมดกำลังใจเมื่อเราจะแลเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นนั้น มิได้เกิดขั้นอย่างรวดเร็วตามที่เราต้องการ สิ่งที่สำคัญก็คือความพยายามที่จะทำดีไปเรื่อยๆ เป้าหมายของการใช้ชีวิตอย่างดี มิได้อยู่ที่การได้รับชัยชนะในการดิ้นรนต่อสู้เพื่อชัยชนะในครั้งเดียวสำหรับตลอดไป แต่จะอยู่ที่การทำการสู้รบต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อน
นอกจากบาปส่วนตัวของแต่ละคนและการไถ่กู้แต่ละคนแล้ว ก็ยังมีบาปของสังคมและการไถ่กู้สังคนเป็นการส่วนรวมอีกด้วย…ครอบครัวมนุษยชาติทั้งหมด ได้ถูกทำร้ายและถูกทำลายเพราะบาปเป็นสาเหตุ พระเยซูเจ้าได้ทรงเสด็จมาเพื่อจะนำเรามนุษย์ให้กลับไปมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและกับเพื่อนพี่น้องแต่ละคน
โดยผ่านทางศีลล้างบาป เราถูกเรียกให้มาเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า นี่เป็นเกียรติและเป็นสิทธิพิเศษอย่างมากสำหรับเราคริสตชน แต่เราจะต้องไม่ลืมว่าการเรียกนี้เป็นการเรียกเพื่อรับใช้ เราต้องการพระจิตเจ้าให้สัมผัสหัวใจของพวกเราและเราต้องเรียนรู้จากท่านยอห์น ผู้ทำพิธีล้าง ว่าเราจะต้องไม่ทำตัวเราเองให้เป็นศูนย์กลางของสิ่งที่เราคิด เราพูดและเราทำ เราต้องใช้พระพรต่างๆที่ได้รับจากพระเจ้าเพื่อรับใช้พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์