ข้อคิดอาทิตย์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ10: 26-33…พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับสานุศิษย์ของพระองค์ว่าอย่ากลัวเลยที่จะยอมรับพระองค์ต่อหน้ามนุษย์เพราะพระองค์ก็จะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของพระองค์ผู้สถิตในสวรรค์…
พระเยซูเจ้าทรงเตือนสอนสานุศิษย์ของพระองค์ไม่ให้เกรงกลัวที่จะพูดในการเป็นประจักษ์พยานถึงข่าวดีของพระองค์…พลางรับประกันกับพวกเขาว่าพระเจ้าจะทรงใส่ใจและดูแลพวกเขาณเวลาที่พวกเขาจะถูกทดลอง
ข้อคิด…เมื่อพระเยซูเจ้าส่งพวกอัครสาวกให้ออกไปประกาศคำสั่งสอนของพระองค์เขาก็มีเหตุผลที่จะต้องกลัวเพราะพระองค์รู้ดีว่าพวกเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากและการต้องถูกเบียดเบียน…ดังนั้นพระเยซูเจ้าจึงได้ทรงบอกกับพวกเขาถึงสามครั้งว่า“อย่ากลัวเลย”
เป็นเรื่องปรกติที่เราบางครั้งก็ขาดความกล้าหาญและรู้สึกกลัวขึ้นมา…ให้เราลองนึกถึงคนบางคนหรือแม้นกระทั่งตัวเราเองที่ประสบความสำเร็จอะไรบ้างในชีวิตจะต้องได้สัมผัสกับความกลัวไม่มากก็น้อยและให้เราลองนึกถึงท่านประกาศกเยเรมีย์ในบทอ่านที่หนึ่ง(ยรม20: 10-13) หรือแม้นพระเยซูเจ้าเองในสวนเก็ธเสมานี
ความกลัวจริงๆแล้วก็มิใช่เป็นสิ่งเลวร้ายบางครั้งกลับทำหน้าที่คอยปกป้องพลางเตือนเราถึงภัยอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นแต่ถึงกระนั้นความกลัวบางครั้งก็สามารถเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตหรือในการทำอะไรบางอย่างได้และอาจจะทำให้เรากลายเป็นคนขี้ขลาดไม่กล้าทำอะไรบางอย่าง
พระเยซูเจ้าทรงทราบดีว่าพวกอัครสาวกมีความกลัวพระองค์จึงพยายามที่จะกระตุ้นพวกเขาให้มีความกล้าหาญและพยายามผลักดันพวกเขาไม่ให้กลัวเพราะรู้ดีว่าความกลัวสามารถทำให้พวกเขากลายเป็นคนขี้ขลาดจนไม่สามารถทำสำเร็จซึ่งพันธกิจที่พระองค์จะทรงมอบหมายให้กับพวกเขา
และพระเยซูเจ้าได้ทรงเสนอแนะพวกอัครสาวกอย่างไรที่จะเอาชนะความกลัว?
พระองค์ได้บอกให้พวกเขามีความเชื่อมั่นและวางใจในความช่วยเหลือของพระเจ้าพลางให้สังเกตุดูความใส่ใจของพระเจ้าทีมีต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของสิ่งสร้างของพระองค์แม้นที่เล็กที่สุดและด้อยคุณค่ามากที่สุดเช่นในกรณีของนกกระจอกที่พระเจ้าไม่ยอมให้มันสักตัวเดียวตกถึงพื้นดินโดยที่พระบิดาเจ้าไม่ทรงเห็นชอบ…พระเยซูเจ้าได้ทรงบอกกับพวกอัครสาวกว่าพระเจ้าทรงล่วงรู้ทุกรายละเอียดของชีวิตของพวกเขาและจะสนับสนุนพวกเขาเมื่ออยู่ในสถานการณ์วิกฤต
ท่านประกาศกเยเรมีย์ได้มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายของชนชาติอิสราเอลในช่วงเวลาที่พวกเขาพ่ายแพ้สงครามทั้งกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารก็ได้ถูกทำลายลงและแม้นชีวิตของท่านเองก็ถูกคุกคามแต่ในท่ามกลางความวุ่นวายเช่นนี้ท่านประกาศกก็ยังคงซื่อสัตย์ต่อกระแสเรียกของท่านและยังคงไว้วางใจในพระเจ้า
เป็นอะไรที่ทำให้ท่านสามารถเอาชนะความกลัวและยังคงซื่อสัตย์ต่อพันธกิจที่ท่านได้รับพระบัญชาจากพระเจ้า?
นี่เกิดจากความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างท่าน…เพราะพระองค์จะทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสนให้พ้นมือของผู้ทำความชั่วร้าย
พระเจ้าก็ทรงอยู่เคียงข้างเราด้วย…บางครั้งเมื่อเรามีความกลัวเราต้องไม่ยอมให้ความกลัวนั้นมาทำให้เราเป็นอัมพาตทำอะไรไม่ได้
การใช้ชีวิตเป็นคริสตชนที่ดีต้องการความกล้าหาญ…และการใช้ชีวิตอย่างมีความหมายก็ต้องการความกล้าหาญเช่นกัน
ความกล้าหาญเป็นคุณธรรมที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งเพราะถ้าหากไม่มีความกล้าหาญแล้วไซร้เราก็จะไม่สามารถปฏิบัติคุณธรรมอย่างอื่นได้อย่างสม่ำเสมอ…และในฐานะที่เราเป็นคนแห่งความเชื่อเราต่างก็เชื่อว่าพระเจ้าจะทรงประทานให้แก่เราซึ่งพละกำลังที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับเรา
การเป็นอิสระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งก็คือการเป็นอิสระจากความกลัวเพราะถ้าหากเรายังไม่สามารถเอาชนะความกลัวได้เราก็คงจะไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ได้
การเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้านั้นการมีหัวจิตหัวใจเล็กๆก็คงจะไม่พอ…แต่ต้องการหัวจิตหัวใจที่กล้าหาญ…ขอพระเจ้าได้ทรงประทานหัวจิตหัวใจที่กล้าหาญให้แก่เราด้วย
ในชีวิตของเราอาจจะมีบางช่วงเวลาที่เราจะรู้สึกว่าหมดกำลังใจไม่มีพละกำลังที่จะเดินหน้าต่อไปเพราะเพื่อนพี่น้องของเราต่างก็ทอดทิ้งเราไม่สนใจใยดี…แต่จะต้องเป็นช่วงเวลานี้เองที่เราจะต้องไว้ใจในพระเจ้าและเชื่อมั่นในพระสัญญาของพระองค์…เป็นสิ่งที่บรรเทาใจสักเพียงใดเมื่อเรารู้ว่าพระเจ้าได้ทรงใส่ใจดูแลเราอยูเสมอ…พระองค์ได้ทรงใส่ใจดูแลเราแม้นกระทั่งในรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุดในชีวิตของเรา……ไม่ว่าจะเป็นความกังวลและความห่วงใยต่างๆปัญหาและความโชคร้ายต่างๆฯลฯ…สิ่งต่างๆเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อยู่ในการกำกับดูแลของพระองค์…เราต้องไม่ลืมว่าเราได้รับการไถ่กู้ให้รอดพ้นด้วยพระโลหิตของพระเยซูเจ้าเราจึงมีคุณค่ามากกว่าสิ่งสร้างอื่นๆทั้งหลายในโลกซึ่งพระเจ้าก็ใส่ใจดูแลเช่นกัน
“โปรดให้เราปลอดภัยจากความวุ่นวายใดๆตลอดไปขณะที่หวังจะได้รับความสุข และรอรับเสด็จพระเยซูคริสตเจ้าพระผู้กอบกู้ข้าพเจ้าทั้งหลาย”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์