ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ13: 24-43…จงปล่อยให้ข้าวทั้งสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว…ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ทุ่งนาคือโลกและเมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร…
เราไปวัดมิใช่เพราะว่าเราเป็นนักบุญแต่เพราะว่าเราเป็นคนบาปต่างหากซึ่งต้องการจะเป็นคนที่ดีขึ้นศักดิ์สิทธิ์ยิ่งขึ้น…พระเจ้าทรงมีความเพียรกับเรามนุษย์ทุกๆคนพระองค์ไม่ทรงเลือกปฏิบัติและไม่ทรงทำการตัดสินพิพากษาลงโทษใครง่ายๆ…
ข้อคิด…มีความโน้มเอียงตามธรรมชาติของเรามนุษย์อยู่อย่างหนึ่งคือมักจะชอบแบ่งแยกมนุษย์ด้วยกันเองออกเป็นสองกลุ่มสองพวกใหญ่ๆดังเรื่องอุปมา“ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์” คือคนดีและคนชั่วและความโน้มเอียงดังกล่าวนี้ก็มีอยู่ในศาสนิกชนของทุกๆศาสนาเช่นกันดังที่เราสามารถเห็นได้ง่ายๆจากเรื่องอุปมาดังกล่าวหรือจากคำอธิษฐานภาวนาของพวกชาวฟาริสีที่คิดว่าตนเองเป็นคนดี ก็มักจะชอบอธิษฐานภาวนาขอพระพรจากพระเจ้าจากสิ่งกดิ์สิทธิ์ฯลฯสำหรับตนเองสำหรับครอบครัวของตนสำหรับประเทศชาติของตนฯลฯ…แต่ว่าในเวลาเดียวกันก็วิงวอนขอการสาปแช่งให้กับคนอื่นคนที่เป็นศัตรูคนที่ไม่ได้อยู่ข้างเดียวกับตนฯลฯ
เช่นเดียวกันในพระศาสนจักรของเราก็มักจะมีคริสตชนสองจำพวกด้วยกันพวกหนึ่งที่เป็นแบบ“ผูกขาด”ซึ่งมีความคิดว่าพระศาสนจักรจะต้องมีไว้สำหรับคนดีเท่านั้นส่วนอีกพวกหนึ่งซึ่งเป็นแบบ“อะไรก็ได้” พวกนี้มักมีทัศนะคติว่าพระศาสนจักรควรจะต้องเปิดกว้างสำหรับทุกๆคนโดยไม่จำกัดเชื้อชาติและฐานะทางสังคมและสำหรับทั้งคนดีและคนบาป
เราต้องไม่ลืมว่าพระศาสนจักรเป็นช่องทางสำหรับการเอาตัวรอดพ้นสำหรับมนุษย์ทุกๆคนแต่ว่าสำหรับบางคนการมีคนบาปอยู่ในพระศาสนจักรถือว่าเป็นสาเหตุของการเป็นที่สะดุดเพราะถ้าพระศาสนจักรจะได้ยึดมั่นในหลักการของตนเองก็เฉพาะบรรดานักบุญหรือคนดีคนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นที่ควรจะได้รับการยอมรับให้อยู่ในพระศาสนจักรได้ที่จริงทัศนะดังกล่าวนี้ก็ได้เป็นปัญหาสำหรับพระศาสนจักรในยุคต้นๆเหมือนกันแต่ก็ได้มีการให้ข้อสังเกตุโดยให้ดูแบบอย่างขององค์พระเยซูเจ้าเองว่าพระองค์ทรงต้อนรับทั้งคนดีและคนบาปโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ
ก่อนอื่นหมดบรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าน่าจะได้แลเห็นการปฏิบัติหรือพฤติกรรมต่างๆของพระเยซูเจ้าอันเป็นตัวอย่างนำร่องสำหรับพวกเขาพระองค์ไม่เคยทอดทิ้งพวกคนบาปตรงข้ามพระองค์กลับต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่นและด้วยความรักเมตตายิ่งกว่านั้นพระองค์ยังได้ทรงประกาศว่าพระองค์เสด็จมามิใช่เพื่อเรียกคนชอบธรรมแต่เพื่อเรียกคนบาปให้กลับใจหรือแม้นในนิทานเปรียบเทียบต่างๆของพระองค์ก็เช่นกันเช่นในกรณีของนิทานเปรียบเทียบเรื่องข้าวละมานและข้าวสาลีในพระวรสารของวันนี้ที่ได้เติบโตขึ้นพร้อมๆกันจนกระทั่งถึงเวลาของการเก็บเกี่ยวซึ่งพระองค์ก็ได้ให้คำตอบในเรื่องนี้อย่างแจ้งชัดและอย่างตรงไปตรงมาว่า…จงปล่อยให้ข้าวทั้งสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว…
มนุษย์เราเป็นอะไรที่สลับซ้บซ้อนซึ่งไม่สามารถถูกแบ่งแยกให้เป็นคนดีหรือคนเลวเฉพาะในสองประเภทนี้เท่านั้นจริงๆแล้วก็ไม่มีเส้นแบ่งเขตฟันธงลงไปว่าคนนี้เป็นคนดีคนนั้นเป็นคนเลวเพราะในหัวใจของมนุษย์แต่ละคนก็มีทั้งสิ่งดีและสิ่งเลวเพียงแต่ว่าจะมีอันไหนมากกว่ากันเท่านั้น
ในตัวมนุษย์ทุกคนก็มีทั้งดีและเลวผสมปะปนกันไม่มีใครที่จะมี“ดี” ครบถ้วนและไม่มีใครที่จะมี“เลว” ไปทั้งหมด
เมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจะทำอย่างไรดี?
สำหรับตัวเราเมื่อเรามองดูตัวเราอย่างถ่องแท้โดยไม่เข้าข้างตัวเราเองและเมื่อเราพบข้อบกพร่องเราก็ควรจะต้องพยายามแก้ไขซึ่งจะต้องมีความเจ็บปวดอย่างแน่นอน
ส่วนสำหรับคนอื่นเราก็ควรจะต้องปฏิบัติต่อเขาดังเช่นพระเยซูเจ้าแน่นอนพระองค์คงจะแลเห็นข้าวละมานหรือข้อบกพร่องในตัวนักบุญเปโตรแต่ว่าในเวลาเดียวกันพระองค์ก็มองเห็นข้าวสาลี/ความดีในตัวนักบุญเปโตรด้วยพระเยซูเจ้าทรงทราบดีว่าถ้าให้กำลังใจข้าวสาลีหรือความดีในตัวนักบุญเปโตรก็สามารถได้รับชัยชนะเหนือข้าวละมานหรือความไม่ดีได้และก็เป็นเช่่นนั้นจริงๆ
พระศาสนจักรไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้ นอกจากจะต้องเลียนแบบของพระเยซูเจ้าแน่นอนจะต้องเป็นภาระใหญ่โตและต้องใจกว้างอย่างมากๆที่จะเก็บรักษาคนไม่ดีหรือคนชั่วให้อยู่ในพระศาสนจักรเพราะมิฉะนั้นก็ไม่สมควรจะได้ชื่อว่าพระศาสนจักรของพระคริสต์
ข้อเสนอแนะที่จะให้ถอนข้าวละมานออกเสียก็เป็นข้อเสนอแนะที่ดีที่น่าทำตามก็มีรัฐบาลของหลายๆประเทศทีได้ใช้ความพยายามอย่างมากมายที่จะกำจัดพวกก่อการร้ายแม้จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจแต่ก็มิใช่เป็นวิธีแก้ปัญหาของคริสตศาสนาและก็มิใช่่วิธีแก้ปัญหาแบบมีมนุษยธรรม
พระศาสนจักรที่ยอมรับแต่ผู้ที่เป็นนักบุญเท่านั้นก็คงจะเหมือนๆกับที่โรงพยาบาลรับแต่คนที่มีสุขภาพดีหรือเหมือนกับร้านรับซ่อมที่รับซ่อมแต่ของที่ดีอยู่แล้วพระศาสนจักรไม่ได้เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับนักบุญแต่พระศาสนจักรเป็นโรงเรียนสำหรับคนบาป
พระศาสนจักรเป็นพระวิหารหรือวัดที่่มีประตูทางเข้าเป็นร้อยๆประตูและผู้แสวงบุญสามารถเข้าไปทางประตูไหนก็ได้เหมือนกับที่เราเข้าไปในบ้านของพระเจ้าหรือเข้าไปในวัดในวันอาทิตย์ทางประตูไหนก็ได้…พระศาสนจักรหรือวัดของเรามิใช่มีไว้สำหรับคนดีเท่านั้นแต่ก็มีไว้สำหรับคนที่รู้สึกตัวว่าเป็นคนไม่ดีด้วย
พระเจ้าทรงเป็นผู้ที่มีความอดทนยิ่งกว่าพวกเรามากมายนักบทอ่านที่หนึ่งของวันนี้เตือนสติเราทุกๆคนว่า“พระเจ้าทรงปราณีต่อทุกคน…ทรงพิพากษาอย่างอ่อนโยน…และทรงปกครองชาวเราด้วยพระทัยปรานี” (ปชญ12: 13, 16-19)
ขณะที่เรารู้จักแยกแยะว่าอะไรดีอะไรไม่ดีสำหรับตัวเราเองเราก็ต้องมุ่งมั่นที่จะเป็นตามแบบอย่างของพระเจ้าในการรู้จักเข้าใจคนอื่นและมีความอดทนเวลาของการพิพากษายังมาไม่ถึงพระอาณาจักรของพระเจ้ายังอยู่ในช่วงเวลาของการพัฒนาบัดนี้เป็นเวลาของการกล้บใจคนเราสามารถเปลี่ยนแปลง“จากไม่ดีไปสู่ดี” ได้ทุกขณะเวลาตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์