ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี A
มธ14: 13-21…พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นหญ้าทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึ้นมาทรงกล่าวถวายพระพรทรงบิขนมปังส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชนและทุกคนได้กินจนอิ่ม…
ประชาชนมากมายได้ติดตามพระเยซูเจ้าไปในที่เปลี่ยวพลางลืมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะฟังพระวาจาของพระองค์และเพื่อต้องการให้พระองค์รักษาโรคภัยไข้เจ็บของพวกเขาให้หายเช่นเดียวกันในขณะนี้ที่เราเองก็ได้ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างแม้เพียงชั่วครู่หนึ่งเพื่อฟังพระวาจาของพระองค์และเพื่อมารับการรักษาให้หายที่โต๊ะศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์
ข้อคิด…ในเรื่องอัศจรรย์ของการทวีขนมปังและปลาชวนให้เราได้รำลึกถึงการอัศจรรย์ในเรื่องของ“มานนา”ที่เกิดขึ้นในถิ่นทุรกันดารในพระธรรมเก่า“พระเยซูเจ้า”ทรงเป็น“โมเสสคนใหม่”ซึ่งเลี้ยงดูประชากรของพระองค์ในที่เปลี่ยวในการที่พระเยซูเจ้าทรงเลี้ยงดูประชาชนมากมายในครั้งนี้นั้นนักบุญมัทธิวและบรรดาผู้อ่านพระวรสารของท่านแลเห็นและเข้าใจว่าเป็นการล่วงหน้าแห่งพฤติกรรมของ“พิธีบูชาขอบพระคุณ”ที่พระองค์จะทรงตั้งขึ้นสำหรับพระศาสนจักรของพระองค์นั่นเองทั้งอากัปกิริยาและพระวาจาต่างๆที่นำมาใช้นั้นก็เป็นอากัปกิริยาและพระวาจาที่ใช้ในการรับประทานอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระองค์กับบรรดาอัครสาวกของพระองค์…”พระเยซูเจ้าทรงหยิบขนมปัง…ตรัสถวายพระพร…ทรงบิขนมปัง…ประทานให้บรรดาศิษย์”และเช่นเดียวกัน“พิธีบูชาขอบพระคุณ”ก็เป็นการล่วงหน้าของ“งานทานเลี้ยงสุดท้ายแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้า”
คุณแม่เทเรซาได้เล่าให้เราฟังว่าวันหนึ่งได้มีครอบครัวชาวฮินดูครอบครัวหนึ่งมาหาคุณแม่พวกเขาไม่มีอาหารทานมาหลายวันแล้วคุณแม่ได้ลุกขึ้นไปหาข้าวปลาอาหารเท่าที่จะหาได้มาให้พวกเขาได้รับประทานสิ่งที่ได้เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้สร้างความประหลาดใจให้กับคุณแม่เป็นอันมาก…คือทันทีผู้ที่เป็นแม่ได้ทำการแบ่งอาหารออกเป็นสองส่วนด้วยกันนางได้เอาอาหารส่วนหนึ่งไปให้ครอบครัวข้างบ้านซึ่งเป็นชาวมุสลิม
เมื่อเห็นดังนี้คุณแม่เทเรซาได้พูดกับนางว่า“และเวลานี้เธอมีอาหารเหลือสักมากน้อยแค่ไหน?…และมันเพียงพอสำหรับครอบครัวของเธอหรือ?”
“แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้กินอะไรมาตั้งหลายวันแล้วเหมือนกัน”…นางบอกกับคุณแม่เทเรซา
ความใจกว้างแบบนี้แหละที่ทำให้เรามีใจสุภาพอ่อนโยนไม่แข็งกระด้างไม่เย็นชาต่อความต้องการของเพื่อนพี่น้อง
เราสามารถเรียกการอัศจรรย์ในการทวีขนมปังและปลาของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ว่าเป็น“การอัศจรรย์แห่งความใจกว้าง”
ประการแรกเป็นความใจกว้างของเด็กชายคนนั้นซึ่งมีขนมปังอยู่ห้าก้อนและปลาสองตัวที่ได้ช่วยทำให้การอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าเป็นไปได้แม้ว่าในตัวของมันเองขนมปังห้าก้อนและปลาสองตัวจะเป็นสิ่งเล็กน้อยก็ตามแต่ว่าสำหรับเด็กชายคนนั้นมิได้เป็นสิ่งเล็กน้อยเลยเพราะนั่นเป็นอะไรทั้งหมดสำหรับการยังชีพของเขาในวันนั้นเป็นสิ่งง่ายที่เราจะให้อะไรบางอย่างแก่คนอื่นจากความเหลือเฟือที่เราไม่จำเป็นต้องมีและต้องใช้อีกแต่ถ้าหากว่าการให้เกิดจากสิ่งของจำเป็นทั้งฝ่ายของผู้ให้และผู้รับนั่นแหละจึงจะเป็นการให้ที่แท้จริงนั่นแหละที่เราเรียกว่าเป็น“ความเสียสละ”
ประการต่อมาเป็นความใจกว้างอย่างน่าอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าเพื่อที่จะเห็นคุณค่าของการอัศจรรย์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในที่เปลี่ยวแห่งนี้เราต้องนำเอากรณีแวดล้อมของการอัศจรรย์นี้ขึ้นมาพิจารณาด้วยเป็นการง่ายที่เราจะทำอะไรให้กับคนอื่นเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างสามารถดำเนินไปได้อย่างค่อนข้างจะสดวกสบายแบบไม่มีปัญหาแต่ว่ามันไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายเลยถ้าจะเกิดมีอุปสรรคมีปัญหามีความขัดแย้งฯลฯอย่างนี้แหละที่ต้องการ“ความเสียสละ” เข้ามาช่วยเพราะถ้าเกิดมีปัญหาหรือความยุ่งยากเราอาจจะต้องพับเก็บแผนการต่างๆที่เราได้วางเอาไว้อย่างสวยหรูนั้นและหันมาจัดการกับปัญหาต่างๆของเราเสียก่อน
นี่เป็นกรณีของพระเยซูเจ้าเลยทีเดียวพระองค์เพิ่งได้ทราบข่าวเรื่องราวของยอห์นแบปติสต์ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ซึ่งโดนตัดศีรษะพระองค์ทรงต้องการอยู่เงียบๆไม่ต้องการให้ใครมารบกวนนี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพระองค์กับเหล่าอัครสาวกของพระองค์ต้องการข้ามไปอีกฝังหนึ่งของทะเลสาปแต่ว่าเมื่อพระองค์ขึ้นจากเรือพระองค์ก็ได้ทรงพบกับฝูงชนเป็นจำนวนมากที่กำลังคอยพบพระองค์อยู่ถ้าหากว่าลองเป็นตัวเราเราก็คงจะรู้สึกไม่พอใจและหงุดหงิดและอยากจะไล่พวกเขากลับบ้าน
ตรงกันข้ามพระเยซูเจ้ากลับมีความสงสารเห็นอกเห็นใจพวกเขาแล้วนั้นพระเยซูเจ้าก็ได้ทรงแสดงความใจกว้างของพระองค์ให้เห็นด้วยการตอบสนองความหิวกระหายของพวกเขาพระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูพวกเขาจนอิ่มหนำสำราญและยังเหลืออาหารอีกสิบสองกระบุง
จากการอัศจรรย์ทวีขนมปังของพระเยซูเจ้าในครั้งนี้เราสามารถเรียกเหตุการณ์นี้ได้ว่าเป็น“การอัศจรรย์แห่งความใจกว้าง”…เพราะความใจกว้างมิใช่เป็น“การให้”หรือ“การหยิบยื่นความช่วยเหลือ” เท่านนั้นแต่ว่าบ่อยๆครั้ง“ความใจกว้าง”เป็นการอุทิศตัวเราเองเป็นการให้เวลาของเราและเป็นการให้พระพรต่างๆที่เราได้รับจากพระเจ้าให้แก่คนอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่คนยากจนน่าสงสารคนด้อยโอกาสฯลฯการให้สิ่งของเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายแต่การให้ตัวตนของตัวเราเองเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ง่ายนัก
ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงมอบพระองค์เองให้เป็นอาหารและเครื่องดื่มในศีลมหาสนิทนั้นพระองค์ได้ทรงมอบพระองค์เองให้กับประชาชนในหลายๆวิธีด้วยกันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการประกาศข่าวดีการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆฯลฯ
เรื่องเล่าของการเลี้ยงดูประชาชนจำนวนมากมายเป็นเรื่องเล่าที่กินใจสำหรับบรรดาคริสตชนในยุคต้นๆการอัศจรรย์นี้ชวนให้เรารำลึกถึงเรื่องราวของ“มานนา” ที่เป็นอาหารเลี้ยงดูชนชาวอิสราแอลในถิ่นทุรกันดารในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมสำหรับพวกเขาพระเยซูเจ้าก็คือ“โมเสสคนใหม่”นั่นเองเพราะพระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูประชาชนในที่เปลี่ยวและพวกเขาได้แลเห็นว่าในการให้อาหารเลี้ยงดูประชาชนนี้เป็นบทนำของการตั้งศีลมหาสนิทเพราะเป็นที่พระแท่นบูชาแห่งศีลมหาสนิทนี่เองที่พระเยซูเจ้าได้ทรงเลี้ยงดูพวกเราคริสตชนด้วยพระกายและพระโลหิตของพระองค์เอง
และเป็นที่พระแท่นบูชานี้นี่เองที่พระเยซูเจ้าในขณะนี้ทรงกำลังเลี้ยงดูพวกเราอยู่ด้วยพระกายและพระโลหิของพระองค์…เป็นที่โต๊ะบูชาของพระเจ้านี้เองที่เราสามารถได้รับอาหารที่หัวใจของเราเรียกหา…ในพิธีบูชาขอบพระคุณที่เราได้รับการเลี้ยงดูด้วยพระวาจาของพระเจ้าและด้วยปังแห่งชีวิตขณะที่เราได้รับเชิญให้มีส่วนร่วมในงานทานเลี้ยงแห่งชีวิตของพระองค์บนโลกนี้พระเจ้าก็ได้ทรงเชื้อเชิญพวกเราให้มีส่วนร่วมในงานทานเลี้ยงแห่งชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรสวรรค์ด้วย
ขณะที่บรรดาสัตบุรุษกลับบ้านหลังจากพิธีขอบพระคุณที่วัดแล้วพวกเขาก็จะได้มีประสบการณ์ถึงคุณความดีและความรักที่พระเจ้าได้ทรงมีต่อพวกเขาเป็นความรักของพระเจ้าที่นักบุญเปาโลบอกพวกเราว่าไม่มีอะไรในโลกนี้จะสามารถแยกเราออกจากพระเจ้าได้
ในพิธีบูชาขอบพระคุณและการเข้าไปรับศีลมหาสนิทเราได้ลิ้มรสความรักของพระเจ้าบทพิสูจน์ที่ได้เราได้มีประสบการณ์ในความรักนั้นก็คือ“ความเต็มใจยินดีที่จะรักคนอื่น” เราอาจจะสามารถให้คนอื่นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆหรือจำนวนนิดๆหน่อยๆเหมือนกับเด็กชายคนนั้นในพระวรสารแต่สิ่งเล็กๆน้อยๆนั้นสามารถกลับกลายเป็นสิ่งใหญ่โตในสายพระเนตรของพระเจ้าได้
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์