ข้อคิดอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลธรรมดา ปี B
มก1: 21-28…คำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจอย่างมากเพราะทรงสอนพวกเขาอย่างทรงอำนาจ…เขาสั่งแม้กระทั่งปีศาจและมันก็เชื่อฟัง
พระวาจาของพระเยซูเจ้าเป็นพระวาจาที่พูดกับประชาชนอย่างผู้ทรงอำนาจหรืออย่างมีความน่าเชื่อถือนั่นเอง…ทำไม?…ก็เพราะว่าพระวาจาของพระองค์เป็นจริงดังที่พูดและเพราะพระวาจาของพระองค์สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้ถ้าหากว่าเราจะได้นำพระวาจานั้นมาปฏิบัติแต่ว่าบ่อยๆครั้งเรามักจะพึงพอใจที่จะฟังพระวาจานั้นเฉยๆโดยไม่นำเอาไปปฏิบัติ…
ข้อคิด…พระวรสารในวันนี้นักบุญมาระโกเริ่มจะบอกพวกเราถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำในการประกาศพระอาณาจักรพระเจ้า
ในบทอ่านที่หนึ่งจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติซึ่งนำเสนอโมเสสว่าเป็นประกาศกแห่งอุดมการณ์เพราะโดยปรกติแล้วประกาศกจะไม่พูดด้วยอำนาจของตนเองแต่จะพูดในนามของพระเจ้าชนชาวยิวเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงแต่งตั้งประกาศกท่านหนึ่งเฉกเช่นโมเสสในวันสุดท้ายคริสตชนรุ่นแรกๆถือว่าพระเยซูเจ้าคือประกาศกที่พวกเขาได้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยมาคำสั่งสอนของพระองค์เป็นคำสั่งสอนที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจและมีความน่าเชื่อถือด้วยอัศจรรย์หรือเครื่องหมายต่างๆในพระวรสารของวันนี้เราจะเห็นว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงเทศน์สอนอย่างผู้มีอำนาจอย่างไรและประชาชนคนทั่วๆไปได้ยอมรับรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้อย่างไร
ทุกวันนี้เราได้ยินคำกล่าวที่สะใจฟังแล้วรู้สึกว่ามันในอารมณ์จากหลากหลายบุคคลสาธารณะแต่ว่าก็ทำให้รู้สึกหดหู่เกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาพูดเพราะมีน้อยคนมากที่พูดอย่างผู้มีอำนาจและได้รับการปฏิบัติในชีวิตของพวกเขาจากสิ่งที่พวกเขาได้พูด คำพูดของคนที่อยู่ในอำนาจหรือของนักการเมืองคำพูดของพวกเขาอาจจะมีคนฟังแต่ก็ไม่มีใครอยากถืออย่างจริงจังว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นคำพูดที่ไว้ซึ่งอำนาจและจะได้รับการปฏิบัติ
ถ้าหากว่ามีบุคคลสาธารณะจำนวนมากขาดความน่าเชื่อถือในคำพูดของพวกเขาเพราะผู้พูดเองก็ไม่เชื่อไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดอยู่เพราะมิได้นำเอาไปปฏิบัติดังนั้นคำพูดของพวกเขาก็จะเป็นอะไรที่หลอกตัวเองและหลอกคนอื่นด้วย
นอกจากนั้นลักษณะนิสัยของผู้พูดก็เป็นสิ่งสำคัญมากเพราะถ้าลักษณะนิสัยของบุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่ตรงไปตรงมาแล้วความน่าเชื่อถือของคนๆนั้นก็จะต้องถูกตีค่าต่ำลงไปมากเลยเราคงจะไม่สามารถเชื่อใจในสิ่งที่เขาพูดได้
ถ้าผู้พูดไม่ได้ใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับคำพูดของตนและนี่อาจจะเป็นสิ่งที่เลวร้ายและทำร้ายคนอื่นทำร้ายสังคมมากที่สุด
งานศาสนบริการส่วนใหญ่ของพระเยซูเจ้าน่าจะเป็นการเทศน์สอนและการเทศน์สอนของพระองค์ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าให้กับผู้ฟังอันแตกต่างไปจากผู้เทศน์สอนที่เป็นทางการท่านอื่นๆในเวลานั้นคือบรรดาพวกคัมภีราจารย์นั่นเองไม่มีคัมภีราจารย์คนใดที่ได้เคยแสดงออกซึ่งความคิดเห็นของตนแต่มักจะเริ่มต้นด้วยการอ้างอิงอำนาจหน้าที่ของตนว่ามาจากพระเจ้า
ส่วนพระเยซูเจ้าพระองค์ได้พูดด้วยเสียงของพระองค์เองและไม่มีความต้องการใช้เสียงของคนอื่นใดพระองค์ไม่ได้เอ๋ยถึงอำนาจอื่นๆที่ไหนและไม่ได้อ้างอิงถึงผู้ชำนาญการอื่นใดแต่ถึงกระนั้นพระองค์ได้พูดอย่างผู้ทรงอำนาจยิ่งใหญ่พระองค์ไม่มีแม้กระทั่งตำแหน่งหน้าที่อย่างเป็นทางการดังนั้นอำนาจหน้าที่ของพระองค์ได้มาจากที่ไหน?…ได้มาจากข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ได้พูดความจริงซึ่งสอดคล้องกับชีวิตของพระองค์
นอกจากนั้นคำเทศน์สอนของพระเยซูเจ้ามีความสดตรงไปตรงมาและมีความโปร่งใสเช่นตัวอย่างคำพูดของพระองค์ที่ว่า“ไม่มีใครรับใช้นายสองคน(พร้อมๆกัน)ได้…นครที่ตั้งอยู่บนเนินเขาก็ไม่สามารถบังซ่อนตัวเองได้…อูฐไม่สามารถลอดผ่านรูเข็มได้…และไม่มีใครเก็บลูกมะเดื่อจากกอหนาม” ดังนี้เป็นต้น
คำเทศน์สอนของคัมภีราจารย์ผิดพลาดตรงที่ว่าไม่สามารถหล่อเลี้ยงจิตใจประชาชนได้แต่คำเทศน์สอนของพระเยซูเจ้าสามารถหล่อเลี้ยงหัวใจและจิตวิญญาณของผู้ฟังอาจารย์บางคนเพียงแต่จัดหาข้อเท็จจริงให้เท่านั้นส่วนบางคนก็ให้แต่วิสัยทัศน์แรงบันดาลใจและความหมาย
แม้นักบุญมาระโกจะบอกเราว่า“คำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าทำให้ผู้ฟังรู้สึกประทับใจ” แต่ท่านก็ไม่ได้บอกเราว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงพูดอะไรไว้นี่ดูเหมือนจะเป็นการบอกที่มีนัยยะว่าเป็นองค์พระเยซูเจ้านั่นเองแหละที่เป็นคำเทศน์สอนของพระองค์ที่ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ฟัง
เมื่อคนเราที่ได้ทำอะไรบางอย่างหรือกำลังทำอะไรอยู่เริ่มที่จะพูดประชาชนก็จะรับฟังคำพูดของเขาจะมีน้ำหนักมากขึ้นแม้จะมีหลายๆคนอาจจะเกิดความสงสัยในสิ่งที่เขาพูดแต่พวกเขาก็จะเชื่อในสิ่งที่เขาทำเราต้องไม่ลืมว่าจุดอ่อนของคำพูดมากมายของเราเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่ามันมิได้ถูกนำไปใช้ด้วยการกระทำหรือไปพร้อมๆกันกับการกระทำหรือแม้แต่ถูกตามด้วยการกระทำ
มีสิ่งหล่อเลี้ยงสำหรับชีวิตของเราในพระวาจาของพระเยซูเจ้าแต่เป็นการไม่เพียงพอที่จะฟังเฉยๆแต่เมื่อฟังแล้วเราจะต้องนำเอามาเป็นชีวิตถ้าเราเจริญชีวิตด้วยอะไรอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความจริงที่เป็นพระวาจาทรงชีวิตขององค์พระเยซูเจ้าชีวิตของเราก็จะไม่ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยสิ่งดีๆที่น่าเชื่อถือในสายตาของคนทั่วๆไป
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์