ข้อคิดอาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรต ปี B
มก9: 2-10…พระวรกายของพระเยซูเจ้าเปลี่ยนไปต่อหน้าศิษย์ทั้งสาม…และมีเสียงหนึ่งออกมาจากก้อนเมฆว่าผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเราจงฟังท่านเถิด…
บนภูเขาทาบอร์ศิษย์รักของพระเยซูเจ้าสามท่านเปโตรยากอบและยอห์นได้แลเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเยซูเจ้าอย่างบุตรของพระเจ้าชั่วขณะหนึ่งช่างเป็นประสบการณ์ที่น่าอัศจรรย์ใจจริงๆสำหรับศิษย์ทั้งสามจนทำให้เปโตรถึงกับอุทานออกมาว่า“พระอาจารย์เจ้าข้าที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ”…เช่นเดียวกันที่นี่เช้าวันนี้ก็น่าอยู่จริงๆสำหรับพวกเราที่มาอยู่พร้อมหน้ากันรอบๆพระแท่นบูชาขององค์พระเยซูเจ้าอย่างบุตรของพระเจ้าเหมือนกัน…
ข้อคิด…พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์อย่างรุ่งโรจน์เป็นเรื่องราวของการแสดงองค์ของพระเจ้า…การแสดงองค์ของพระเจ้าเป็นเรื่องราวปรกติธรรมดาในผลงานเขียนทางศาสนาของศาสนิกชนอื่นๆในสมัยโบราณในเรื่องเล่านี้ม่านที่กั้นระหว่างโลกที่แลเห็นไม่ได้กับโลกที่แลเห็นได้อนาคตกับปัจจุบันได้ถูกโยกย้ายออกไปเป็นการชั่วคราวและความจริงก็ได้รับการไขแสดง…ในเหตุการณ์แสดงพระองค์ของพระเยซูเจ้านี้ศิษย์ทั้งสามได้แลเห็นเกียรติมงคลของพระผู้ได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆแต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลยจนกว่าพระเยซูเจ้าจะได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วเท่านั้น
ในบทอ่านที่หนึ่ง(ปฐก22: 1-2. 9-13. 15-18) เราได้แลเห็นความเชื่อในพระเจ้าที่ลึกซึ้งของท่านอับราฮัมและความเชื่อของท่านก็ได้รับรางวัลจากพระเจ้าเป็นการตอบแทน…ส่วนในบทอ่านที่สอง(รม8: 31-34) ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับบทอ่านที่หนึ่งก็ได้แสดงให้เห็นถึงความรักที่ลึกซึ้งอย่างที่สุดที่พระเจ้าได้ทรงมีต่อเรามนุษยชาติจนถึงขั้นที่พระองค์ได้ทรงประทานพระบุตรแต่พระองค์เดียวให้กับเรามนุษย์
พระวรสารได้เล่าเหตุการณ์การประจักษ์พระวรกายขององค์พระเยซูเจ้าเกิดขึ้นบนภูเขาสูงเพราะบนภูเขาสูงสามารถให้ทัศนียภาพที่กว้างไกลกว่าและจากบนภูเขาสูงเราสามารถมองเห็นรายละเอียดของสิ่งต่างๆที่อยู่ข้างล่างได้มากขึ้นนอกจากนั้นยังช่วยยกจิตใจของเราขึ้นสู่เบื้องบนได้อีกด้วยทำให้เราอยู่ต่อหน้าความยิ่งใหญ่และความสวยงามของธรรมชาติบนภูเขาสูงทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราอยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นหรืออยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยซ้ำไป
บนภูเขาสูงซึ่งน่าจะเป็นภูเขาทาบอร์ตามที่เชื่อกันวันนั้นท้องฟ้าแจ่มใสพระเยซูเจ้าขึ้นไปสวดภาวนาพร้อมกับอัครสาวกที่รักทั้งสามทันใดนั้นพระวรกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปและฉลองพระองค์กลับมีสีขาวเจิดจ้าแล้วโมเสสผู้รับธรรมบัญญัติสิบประการจากพระเจ้ามาให้ประชาชนมายืนอยู่ข้างหนึ่งของพระองค์ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นท่านเอลียาห์ประกาษกผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านแสดงตนสนทนาอยู่กับพระองค์นักบุญเปโตรถึงกับกราบทูลพระเยซูเจ้าว่า“พระอาจารย์เจ้าข้าที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆเราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิดหลังหนึ่งสำหรับพระองค์หลังหนึ่งสำหรับโมเสสและอีกหลังหนึ่งสำหรับประกาศกเอลียาห์”ครั้นแล้วมีเมฆก้อนหนึ่งลอยมาปกคลุมเขาไว้อันเป็นสัญลักษณ์ของการประทับอยู่ของพระเจ้ามีเสียงหนึ่งออกมาจากเมฆก้อนนั้นอันเป็นเสียงของพระบิดาเจ้ากล่าวว่า“ผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของเราจงฟังท่านเถิด”
นักบุญเปโตรต้องการค้างอยู่บนภูเขาและต้องการสร้างกระโจมที่พักอยู่ที่นั่นเลยโดยคิดว่าน่าจะเป็นที่พำนักที่ปลอดจากภัยอันตรายและปัญหาทุกข์ร้อนทั้งหลายของโลกนี้แต่ว่าจุดประสงค์ของประสบการณ์ที่ว่านี้มิใช่เพื่อให้หนีจากภัยอันตรายและปัญหาทุกข์ร้อนของโลกนี้แต่ต้องการเสริมสร้างและเพิ่มพลังเข้มแข็งให้กับพระเยซูเจ้าและโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กับบรรดาศิษย์เพื่อให้พวกเขาเมื่อกลับลงไปจากบนภูเขาแล้วจะได้สามารถเผชิญหน้ากับความวุ่นวายและภัยอันตรายต่างๆของโลกนี้
แน่นอนพวกเขาคงจะต้องการพลังเข้มแข็งอีกมากมายเพราะวันนั้นจะมาถึงแต่จะเป็นภูเขาอีกลูกหนึ่งต่างหากคือเขากัลวารีโอวันนั้นท้องฟ้าจะมืดมัวพระพักตร์ของพระเยซูเจ้าจะโชกไปด้วยเหงื่อและเลือดฉลองพระองค์ก็จะดูไม่ได้เอาเสียเลยและบรรดาศิษย์จะหนีจากพระองค์ไปหมดจะมีเฉพาะโจรสองคนที่ถูกตรึงกางเขนพร้อมๆกับพระองค์กับแม่พระสตรีใจศรัทธาอีกบางท่านและศิษย์ที่รักอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ในยามนี้เท่านั้นจะไม่มีเสียงจากสวรรค์จะมีแต่เสียงของผู้สบประมาทเยาะเย้ยพระองค์ที่เดินผ่านไปผ่านมาพวกศิษย์คนอื่นๆก็จะหนีกระจัดกระจายกันไปหมดทั้งไม่ต้องการมีส่วนรับรู้อะไรทั้งสิ้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระอาจารย์ของพวกเขา
น่าจะมีอยู่สิ่งหนึ่งที่มีเหมือนๆกันที่ภูเขาทั้งสองลูกคือพระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระบิดาเจ้าจึงเป็นที่ประจักษ์แจ้งว่าสิ่งที่คอยพยุงพระองค์ให้เข้มแข็งอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นวันที่สดใสหรือวันที่มืดมิดก็คือการอธิษฐานภาวนาการมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษกับพระบิดาเจ้านั่นเอง
เชื่อเหลือเกินว่าหลายๆคนในพวกเราคงจะมีประสบการณ์แห่งภูเขาทาบอร์ภูเขาแห่งความชื่นชมยินดีแต่คิดว่าส่วนใหญ่คงจะคุ้นเคยกับภูเขากัลป์วารีโอภูเขาแห่งความทุกข์ยากลำบากมากกว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเราแต่ละคนคือเราจะต้องประสบพบกับภูเขาทั้งสองลูก…บน“ภูเขาทาบอร์”เราได้ลิ้มรสความสวยงามความบรมสุขแห่งสวรรค์เราได้รับกำลังใจเรามีความสุขใจจนเรากล้าพูดว่า“อยู่ที่นี่ดีจริงๆ” ส่วนที่“ภูเขากัลวารีโอ”เราอาจจะต้องจมอยู่ในความทุกข์โศกความเจ็บปวดทั้งกายและใจแต่ว่าที่“ภูเขากัลวารีโอ”อาศัยพระหรรษทานของพระเจ้าเราสามารถเรียนรู้ที่จะกราบทูลพระบิดาเจ้าว่า“ขอให้น้ำพระทัยของพระองค์จงเป็นไป”
บทสรุปจากพระวรสารในวันนี้ที่เราแต่ละคนควรจะได้นำเอาไปไตร่ตรองก็คือในชีวิตของเราแต่ละคนเราสามารถบอกได้ไหมว่า“วันใดที่เรามีความสุขใจมากที่สุด?”และ“วันใดที่เรามีความทุกข์ใจมากที่สุด?”…ซึ่งในทั้งสองวันนี้เราก็ยังสามารถกราบทูลพระเจ้าว่า“ลูกขอขอบพระคุณพระองค์”
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์