ข้อคิดอาทิตย์ที่ 4 เทศกาลมหาพรต ปี B
ยน 3: 14-21…โมเสสยกรูปงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ จะมีชีวิตนิรันดร…พระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ เพื่อโลกจะได้รับความรอดพ้นเดชะพระบุตรนั้น…
นักบุญยอห์นบอกว่าเมื่อความสว่างของพระคริสต์เข้ามาในโลกนี้ ก็มีบางคนไม่ยอมรับความสว่างนี้…ทำไม?…เพราะว่าการกระทำของพวกเขานั้นชั่วร้าย… อนิจจา! หลายๆครั้งเรากลับไม่ยอมต้อนรับความสว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสว่างแห่งพระวาจาของพระเยซูเจ้า…ให้เราวิงวอนขอพระเยซูเจ้า โปรดให้เราได้เดินอยู่ในแสงสว่างของพระองค์เสมอตลอดชีวิต
ข้อคิด…ในบทอ่านที่หนึ่ง (2 พศด 36: 14-16, 19-23) แสดงให้เราได้แลเห็นว่าพระเจ้ายังคงซื่อสัตย์ต่อประชากรของพระองค์อย่างไร?…แม้พวกเขาจะไม่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์…พระสัญญาของพระเจ้าก็มิได้ถูกทำให้เป็นโมฆะจากบาปของประชากรของพระองค์…และเป็นเพราะบาปของพวกเขาที่พระเจ้าอนุญาตให้พวกเขาต้องถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยยังกรุงบาบีโลน แต่ถึงกระนั้น เราก็ได้แลเห็นความรักและพระเมตตาของพระองค์ที่มีต่อพวกเขา จนในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับไปสู่บ้านเกิดเมืองนอนของตน
ส่วนในบทอ่านที่สอง (อฟ 2: 4-10) นักบุญเปาโลได้เน้นย้ำถึงความรักมหาศาลทีพระเจ้าแสดงให้เห็นในพระคริสตเจ้า อันทำให้เราได้แลเห็นว่าเราเป็นหนี้การช่วยให้รอดพ้นของพระเจ้าซึ่งมิได้เกิดจากความสามารถหรือความพยายามของเรามนุษย์ แต่เป็นเพราะน้ำพระทัยดีของพระองค์ต่างหาก
สำหรับพระวรสาร ก็บอกเราว่าความรักและความเมตตาของพระเจ้า เรามนุษย์สามารถสัมผัสได้จากการที่พระเจ้าได้ส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาในโลกนี้ เพื่อช่วยเรามนุษย์ให้รอดพ้น…พระเยซูเจ้าได้เสด็จลงมายังโลกนี้เพื่อจะเป็นความสว่างคอยส่องหนทางแห่งชีวิตของเราแต่ละคน แต่ก็เป็นเรื่องน่าเศร้าที่หลายๆคนชอบความมืดมากกว่าความสว่างอันเป็นการกล่าวโทษตัวเองที่ไม่ยอมรับความสว่างที่นำความรอดพ้นมาให้
“พระเจ้าทรงรักโลกอย่างมาก จึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่มีความเชื่อในพระบุตร จะไม่พินาศ แต่จะมีชีวิตนิรันดร” …นี่เป็นพระวาจาที่น่าอัศจรรย์มากๆที่เราได้ยินในพระวรสารวันนี้ อันเป็นบทสรุปของข่าวดีของพระเยซูเจ้า
แต่ว่านิโคเดมัส กลับเป็นจุดแห่งความสนใจของพระวรสารวันนี้ แม้ว่าตัวท่านจะปรากฎตัวในเรื่องเล่าของพระวรสารเพียงแค่สามครั้งและในเฉพาะพระวรสารของนักบุญยอห์นเท่านั้น…ท่านมีอุปนิสัยใจคอที่น่าสนใจ ท่านเป็นชาวฟาริสีและเป็นสมาชิกท่านหนึ่งในสภาสูงของพวกยิว
นิโคเดมัส…ปรากฎตัวเป็นครั้งแรกในพระวรสารที่เราเพิ่งได้ยินจบลงไปในวันนี้ ท่านรู้สึกประทับใจในคำสั่งสอนและในการกระทำของพระเยซูเจ้า จึงได้มาหาพระองค์ แต่ก็มาอย่างลับๆในความมืด เพราะไม่อยากให้ใครเห็น สิ่งที่สร้างความประหลาดใจให้แก่พวกเรา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ว่าท่านเป็นคนชาวฟาริสีซึ่งปรกติแล้วก็มักจะเป็นปฏิปักษ์กับพระเยซูเจ้า แต่พระองค์ได้ให้เกียรติท่านโดยสนทนากับท่านนานทีเดียว
แต่เวลาที่นิโคเดมัส…ปรากฎตัวเป็นครั้งที่สอง ก็ปรากฎว่าได้ก่อให้เกิดมีการต่อต้านพระเยซูเจ้ามากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ของผู้นำทางศาสนาของชนชาวยิว เพราะในขณะนั้นชนชาวฟาริสีได้ตัดสินใจที่จะกำจัดพระองค์และพร้อมที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่ต้องให้โอกาสพระองค์ที่จะต้องทำการไต่สวนเสียก่อน แต่เป็นนิโคเดมัสที่ออกมาทักท้วงว่าพระเยซูเจ้าอย่างน้อยก็ควรจะได้รับโอกาสฟังการไต่สวนตามที่กฎหมายได้ระบุไว้ (ยน 7: 51)
ส่วนในการปรากฎตัวเป็นครั้งที่สามของนิโคเดมัสและเป็นครั้งสุดท้าย ก็คือในการปลงพระศพของพระเยซูเจ้า เป็นตัวท่านเองที่ได้จัดหาเครื่องหอมที่ผสมด้วยมดยอบและว่านหางจระเข้จำนวนมากสำหรับปลงพระศพพระองค์ (ยน 19: 39)
เราได้อะไรจากการปรากฎตัวสั้นๆของนิโคเดมัส?
จากการปรากฎตัวครั้งแรก แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นคนเปิดใจและเป็นผู้ที่กำลังแสวงหาความจริงอย่างแท้จริง
การปรากฎตัวครั้งที่สองแสดงให้เห็นว่าท่านเป็นคนที่ตรงไปตรงมาโดยยืนยันว่าพระเยซูเจ้าไม่ควรที่จะถูกลงโทษโดยที่ไม่มีการไต่สวน
ส่วนการปรากฎตัวครั้งที่สามแสดงให้เห็นว่าแม้ท่านจะเป็นคนที่มีฐานะร่ำรวย แต่ในเวลาเดียวกัน ก็เป็นคนใจกว้างและมีเมตตา
คุณสมบัติทั้งหลายของนิโคเดมัสที่ได้กล่าวถึงข้างบนนี้ ก็เป็นอะไรที่ควรได้รับการยกย่องสรรเสริญและเอามาเป็นแบบอย่าง แต่สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะขาดไปสำหรับนิโคเดมัส ก็คือการออกมายืนยันความเชื่อศรัทธาของตนที่มีต่อองค์พระเยซูเจ้าอย่างเปิดเผยและอย่างเป็นที่ปรากฎแก่สาธารณชน ดูเหมือนว่าท่านยังไม่มีความกล้าที่จะออกจากเงามืดเพื่อทำการเลือกความสว่างอย่างเด็ดขาด ท่านคงยังไม่อยากจะทิ้งภาพลักษณ์ของความเป็นบุคคลแบบธรรมดาๆที่ยังไปไม่ถึงขั้นของผู้ยิ่งใหญ่ให้กับพวกเราได้เชยชม นิโคเดมัสยังมิใช่เป็นนักบุญที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มิใช่เป็นคนบาปแต่อย่างใด
การที่เราได้ทำการไตร่ตรองเรื่องของนิโคเดมัส คงจะเป็นเรื่องที่ท้าทายให้เราได้ออกจากเงามืด และต้องไม่กลัวหรืออายที่จะทำการยืนยันความเชื่อศรัทธาของเราในองค์พระเยซูเจ้าอย่างเปิดเผย และพร้อมเสมอที่จะอุทิศตนสำหรับการนี้
ใครก็ตามที่มีความเชื่อ ก็จะไม่สูญเสียชีวิต แต่จะมีชีวิตนิรันดร นี่มิใช่เป็นเรื่องของความเชื่อเท่านั้น แต่ต้องเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกับความเชื่อนั้น
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์