ข้อคิดอาทิตย์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ปี B
ยน 6: 24-35…อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้…เราเป็นปังแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวและผู้ที่เชื่อในเรา จะไม่กระหายอีกเลย…
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราได้เห็นพระเยซูเจ้าเลี้ยงประชาชนในถิ่นทุรกันดารอย่างไร แต่ว่าเมื่อพวกเขาได้กลับมาหาพระองค์อีกเพื่อที่จะได้รับอะไรมากขึ้น พระองค์จึงได้ตรัสกับพวกเขาว่า “อย่าขวนขวายหาอาหารที่กินแล้วเสื่อมสลายไป แต่จงหาอาหารที่คงอยู่และนำชีวิตนิรันดรมาให้”…ในขณะนี้ เรามาอยู่ด้วยกันรอบๆพระแท่นบูชาของพระองค์ เพราะเรารู้ว่าเรามีความต้องการอาหารอีกชนิดหนึ่งที่พระองค์ได้ทรงกล่าวถึงนั้น อาหารซึ่งพระเจ้าเท่านั้นสามารถประทานให้แก่เราได้และสามารถให้ชีวิตนิรันดร
ข้อคิด…ผ่านทางสุนทรพจน์เรื่อง “ปังแห่งชีวิต” ของพระเยซูเจ้า นักบุญยอห์นสามารถให้ประเด็นทางเทวศาสตร์ที่สำคัญๆบางประเด็นซึ่งเผยแสดงให้เห็นว่าผู้ที่เชื่อในพระองค์ ควรจะต้องเป็นและมีท่าทีเช่นไร…อาหารหรือปังที่พระองค์ทรงพูดถึงนั้น ก็จะเหมือนกับน้ำที่พระองค์ทรงนำเสนอให้กับหญิงชาวซามาริตันที่ขอบบ่อยากอบ อันสามารถบันดาลชีวิตนิรันดรให้ได้สำหรับผู้ที่ทานอาหารและดื่มน้ำนั้น
บทอ่านที่หนึ่งจากหนังสืออพยพ (16: 2-4. 12-15)…เล่าให้เราฟังว่าพระเจ้าได้ทรงเลี้ยงประชากรของพระองค์ในถิ่นทุรกันดารด้วยมานนาอย่างไรบ้าง นี่เป็นตัวอย่างคลาสสิคถึงความใส่ใจของพระเจ้าที่ทรงมีต่อประชากรของพระองค์
เช่นเดียวกัน พระเยซูเจ้าได้ทรงเลี้ยงดูประชาชนซึ่งกำลังหิวโหย แต่พระวรสารได้ทำเรื่องให้กระจ่างขึ้นว่า “บุตรแห่งมนุษย” มิได้เสด็จลงมาจากสวรรค์เพียงเพื่อบรรเทาความหิวโหยทางกายภาพเท่านั้น พระองค์ได้เสด็จลงมาเพื่อประทานอาหารจากสวรรค์ซึ่งเมื่อเราทานแล้ว ก็จะไม่หิวอีก…มานนาเป็นเพียงแต่สัญลักษณ์ที่มาก่อนของอาหารฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งบัดนี้กำลังจะได้รับการเสนอสนองในรูปของอาหารแบบใหม่จากองค์พระเยซูเจ้าให้กับผู้ที่ติดตามพระองค์…มานนาได้เลี้ยงดูประชาชนทางกายภาพและทำให้พวกเขามีชีวิตอย่างชั่วคราว ส่วนอาหารชนิดใหม่ของพระเยซูเจ้านั้นจะเลี้ยงดูประชาชนทางจิตวิญญาณและบันดาลให้พวกเขาได้รับชีวิตนิรันดร์
“อาหารของพระเยซูเจ้า” ในที่นี้ ก่อนอื่นจะต้องหมายถึง “คำสั่งสอน” ของพระองค์ ถัดไปก็หมายถึง “ศีลมหาสนิท”
สำหรับเรามนุษย์ มิใช่ร่างกายเท่านั้นที่หิวเป็น แต่ว่าหัวใจและจิตวิญญาณของเรามนุษย์ ก็หิวเป็นด้วย “อาหาร” ซึ่งเป็นอะไรที่เราสัมผัสได้นั้น ไม่สามารถบันดาลให้หัวใจของเรามนุษย์อิ่มได้…เรามนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งสร้างของพระเจ้า มิใช่มีความหิวกระหายแต่เพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น เช่นในเรื่องของอาหารการกิน ฯลฯ แต่มีความหิวกระหายเป็นร้อยเป็นร้อยเรื่องพันเรื่องในส่วนที่เป็นทั้งร่างกายและในส่วนที่เป็นจิตวิญญาณ
และมิใช่ความหิวกระหายทั้งหมดของเรา ควรจะต้องได้รับการตอบสนองจนเป็นที่พอใจ เพราะความหิวกระหายบางอย่างก็เป็นอันตรายต่อตัวเราเองซึ่งถ้าหากเราบ่มเพาะเอาไว้ในจิตใจของเรา ยิ่งเราบ่มเพาะเลี้ยงมันมากเท่าใด มันก็จะเรียกร้องจากเรามากขึ้นเท่านั้น เช่นในเรื่องของความโลภในทรัพย์สินเงินทองและเกียรติยศชื่อเสียง ฯลฯ แต่ขอให้เราได้อยู่กับความหิวกระหายที่สามารถหล่อเลี้ยงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และความเป็นบุตรของพระเจ้าที่แท้จริง
บางตัวอย่างของความหิวกระหายของเรามนุษย์…
เราหิวกระหายที่จะมีความรู้สึกว่าตัวเรามีความสำคัญ…ไม่มีใครอยากเป็นคนที่ไร้ความหมายไม่มีความสำคัญในสายตาของคนอื่น
เราหิวกระหายที่จะมีการปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น…เพราะมิฉะนั้นเราจะรู้สึกว่าถูกโดดเดี่ยว
เราหิวกระหายที่จะได้รับแรงจูงใจและความเชื่อศรัทธา…เพื่อที่จะช่วยผลักดันให้เราไปสู่เป้าหมายแห่งชีวิต
เราหิวกระหายที่จะมีความหวัง…อันจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้เราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ
เราหิวกระหายที่จะได้รับความรัก…ซึ่งถ้าหากได้รับการตอบสนองอย่างเต็มเปี่ยม เราก็จะไม่ต้องหิวกระหายอย่างอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ยังมีความหิวกระหายอีกอย่างหนึ่งซึ่งลึกซึ้งกว่า นั่นก็คือความหิวกระหายสำหรับชีวิตนิรันดร หรือถ้าจะพูดให้ดีกว่านั้น ก็คือความหิวกระหาย “พระเจ้า” ดังที่นักบุญออกัสตินได้ทูลพระเจ้าว่า
“พระเจ้าข้า เพราะพระองค์ได้ทรงสร้างข้าพเจ้า และหัวใจของข้าพเจ้าอยู่นิ่งไม่ได้ จนกว่าจะได้พักพิงอยู่ในพระองค์”
และเพื่อที่จะมีประสบการณ์ในความหิวกระหายนี้ ต้องถือว่าเป็นบุญลาภหรือเป็นพระพรนั่นเอง เพราะจะช่วยขับเคลื่อนกระแสแห่งชีวิตของเราให้มุ่งไปข้างหน้าจนกว่าจะบรรลุถึงฝั่งแห่งพระอาณาจักรพระเจ้า
ทุกๆวันเราจะเห็นผู้คนในห้างสรรพสินค้ากำลังเข็นรถเข็นใส่ของซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ก็มักจะเป็นอาหาร เครื่องดื่มและของใช้ต่างๆ แต่เรากลับมองไม่เห็นคนเหล่านี้เข็นรถเข็นที่บรรจุอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์คือ “พระเจ้าและพระวาจาของพระองค์”…ถ้าหากเรามีอาหารอย่างที่ว่านี้ ความเป็นมนุษย์ของเราทั้งตัวตนหรือทั้งครบ ก็จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีและอย่างครบถ้วนทั้งฝ่ายกายและฝ่ายจิตวิญญาณ…มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้อาหารชนิดนี้แก่เรามนุษย์ได้ และเฉพาะพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถสนองตอบความหิวกระหายที่ลึกซึ้งที่สุดของเรามนุษย์ได้
มานนาช่วยประทังชีวิตมนุษย์ได้อย่างชั่วคราว แต่อาหารที่พระเยซูเจ้าทรงประทานให้ จะประทังชีวิตมนุษย์ได้อย่างตลอดไป…เรามนุษย์ที่ถูกขับคลื่อนจากความอยากความต้องการที่จะเป็นผู้ไม่รู้ตายหรือการมีชีวิตนิรันดร ก็ให้ฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้า พระผู้ได้เสด็จลงมาพร้อมกับพระสัญญาที่ว่า
“ใครที่รับประทานปังซึ่งเราประทานให้ จะมีชีวิตนิรันดร์”
มีใครบ้างที่ไม่อยากได้ชีวิตที่ว่านี้?
สวัสดี…พ่อวีรศักดิ์