ข้อคิดอาทิตย์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา ปี B
มก 10: 46-52…ข้าแต่พระเยซู โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด…พระอาจารย์ ให้ข้าพเจ้าแลเห็นเถิด…ไปเถิด ความเชื่อของท่านได้ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว…
ในพระวรสารของวันอาทิตย์นี้ เราจะพบกับคนขอทานตาบอดที่มีนามว่า “บาร์ทิเมอัส” เมื่อเขาได้พบกับพระเยซูเจ้า เขาได้กราบทูลวิงวอนพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ให้ข้าพเจ้าแลเห็นเถิด” เป็นคำอธิษฐานวิงวอนที่เราแต่ละคนสามารถนำมาใช้ได้ เพราะว่าบ่อยๆครั้ง เราเองก็เป็นคนตาบอดเหมือนกัน มองไม่เห็นน้ำพระทัยของพระเจ้า มองไม่เห็นความต้องการของผู้อื่น…และพระเยซูเจ้าทรงต้องการจะเปิดตาของเราด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาแห่งหัวใจของเรา…
ข้อคิด…จากบทอ่านที่หนึ่งซึ่งคัดมาจาก หนังสือประกาศกเยเรมีย์ (ยรม 31: 7-9) ซึ่งได้นำสารแห่งความหวังที่นำความชื่นชมยินดีมาให้กับบรรดาผู้ที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบีโลน พระผู้ทรงเป็นเจ้าจะทรงช่วยประชากรชาวอิสราเอลของพระองค์ที่เหลืออยู่ ให้รอดพ้นและจะทรงนำพวกเขากลับจากถิ่นที่เนรเทศกลับสู่บ้านเกิดเมืองนอน แม้คนที่หมดอาลัยตายอยากและหมดหวังก็จะได้มีส่วนในความชื่นชมยินดีในเหตุการณ์ยิ่งใหญ่นี้
ส่วนในพระวรสาร สำหรับนักบุญมาระโก พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้ที่นำความรอดพ้นมาให้ชนชาวอิสราเอล การรักษาคนขอทานตาบอดให้หายของพระองค์ ก็เป็นเครื่องหมายของการมาถึงแห่งพระอาณาจักรของพระเจ้า…”ไปเถิด ความเชื่อของท่านได้ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว”…
เรื่องราวของบาร์ทิเมอัสเป็นเรื่องราวของการรักษาให้หาย คำกล่าว “เขาเดินทางติดตามพระองค์ไป” มิใช่มีความหมายเพียงแต่ร่วมเดินทางไปพร้อมกับฝูงชนมุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็มเท่านั้น แต่นักบุญมาระโกต้องการจะบอกเราว่าการที่บาร์ทิเมอัสได้ติดตามพระเยซูเจ้าบนหนทางแห่งการเป็นศิษย์ของพระองค์ เขาได้รับการนำเสนอให้เป็นรูปแบบหรือโมเดลแห่งความเชื่อ
ดูเหมือนว่าเรื่องราวของบาร์ทิเมอัสนี้ได้ถูกใช้ในพิธีกรรมตั้งแต่ในพระศาสนจักรยุคต้นๆให้เป็นแบบอย่างหรือ “โมเดล” ในการให้กำลังใจแก่ “ผู้เชื่อ” และ “ผู้ที่กำลังจะเป็นผู้เชื่อ”
บาร์ทิเมอัสได้ถูกใช้ให้เป็น “โมเดล” สำหรับผู้ที่เป็นคนตาบอกทางด้านจิตใจและสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอย่างไร้เป้าหมายทิศทาง โดยอาศัย “ความเชื่อ” พวกเขาสามารถมีเป้าหมาย มีพละกำลังและมีทิศทางในการใช้ชีวิตของพวกเขา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ติดตามพระเยซูเจ้าด้วยใจกระตือรือร้น ก็จะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างบริบูรณ์ตั้งแต่อยู่ในโลกนี้
ในสมัยของ “พันธสัญญาเดิม” โรคตาบอดเป็นโรคธรรมดาๆที่สามารถพบเห็นได้ในหมู่คน แต่ว่าทุกวันนี้ เราสามารถขจัดเชื้อโรคหลายๆชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้ตาบอดออกไปได้มากพอสมควร และเรามนุษย์ก็ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์หลากหลายชนิดด้วยกันเพื่อที่จะช่วยทำให้การมองดูของเรามนุษย์ดีขึ้น เรามีแว่นตาเพื่อสายตา เรามีแว่นขยาย เรามีกล้องส่องดูไกลๆ ฯลฯ เราสามารถมองใกล้และมองไกลดีกว่าบรรพบุรุษของเราในสมัยก่อนอย่างมากมาย จริงๆแล้วอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำสำหรับบาร์ทิเมอัสนั้น ก็เป็นอะไรที่เกิดขึ้นอย่างเป็นปรกติวิสัยในโรงพยาบาลของเราในสมัยนี้
เนื่องจากว่าเรามิได้เป็นคนตาบอด เราอาจจะคิดว่าเรื่องเล่าในพระวรสารวันนี้ ไม่มีความหมายหรือไม่มีความเกี่ยวข้องกับเราเลย แต่ว่าจริงๆแล้วเรื่องดังกล่าวมีความหมายอย่างมากสำหรับเราทีเดียว…ปัญหาก็อยู่ที่ว่าเราเห็นสิ่งต่างๆในตัวเรา ในตัวคนอื่นและรอบๆตัวเราอย่างไรและดีแค่ไหน?
บารทิเมอัสต้องทนทุกข์ทรมานจากความตาบอดทางกายภาพ แต่ยังมีรูปแบบของความตาบอดทางกายภาพอีกหลายๆรูปแบบ เช่นการอยู่ในที่มืดสนิทหรืออยู่ในที่แสงจ้าๆ เราก็จะไม่เห็นอะไรเหมือนกับคนตาบอดได้เหมือนกัน ดังนี้เป็นต้น
เป็นไปได้หรือไม่ที่คนตาบอดอาจจะมีความเชื่อศรัทธากว่าคนที่ตาดีเสียอีก? เป็นไปได้ทีคนตาบอดสามารถ “มองเห็น” ได้ดีกว่าคนที่ตาดีในใจความที่ว่าคนตาบอดอาจจะมี “ญาณ” และ “ความเข้าใจ” ที่สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในจิตใจของผู้คน ได้ดีกว่าคนตาดี มิใช่หรือ?
ดูเหมือนว่านักบุญมาระโกเองก็คงคิดไว้เช่นนี้เหมือนกัน และนี่ก็คงเป็นเนื้อหาสาระสำคัญของเรื่องเล่าดังกล่าวในพระวรสารของท่าน บาร์ทิเมอัสซึ่งเป็นคนตาบอดทางกายภาพ ได้มีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้ามากกว่าสานุศิษย์ของพระเยซูเจ้าอีกหลายๆคนซึ่งมีสายตาดีครบถ้วนสมบูรณ์…ขณะที่บาร์ทิเมอัสไม่มีความเคลือบแคลงสงสัย แต่พวกสานุศิษย์กลับมีความเคลือบแคลงสงสัยในองค์พระเยซูเจ้า
สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดสิ่งหนึ่งที่พระเยซูเจ้าพูดถึงบรรดาผู้คนร่วมสมัยของพระองค์ก็คือ “พวกเขามีตา แต่มองไม่เห็น”…พวกเขาได้เห็นกับตาถึงสิ่งใหญ่โตต่างๆที่พระองค์ได้ทรงกระทำ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่มีความเชื่อศรัทธาในพระองค์ การขาดความเชื่อศรัทธาเป็นเรื่องของความตาบอดที่ร้ายแรงมากกว่าการเป็นคนตาบอดทางกายภาพเสียอีก
มีความมืดบอดที่แย่ยิ่งกว่าความมืดบอดของบาร์ทิเมอัส คือความมืดบอดของความไม่เชื่อศรัทธา
บาร์ทิเมอัส นอกจากจะได้กลายเป็นผู้ที่เชื่อศรัทธาในองค์พระเยซูเจ้าแล้ว เขายังได้กลายเป็นศิษย์ของพระองค์ซึ่งจะทำให้เขาใช้ชีวิตเยี่ยงคริสตชน มีความพร้อมที่จะติดตามองค์พระเยซูเจ้า ซึ่งช่างแตกต่างจากความเข้าใจอย่างผิดๆและอย่างมีความลังเลสงสัยของบรรดาศิษย์ระหว่างการเดินทางมุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม
บาร์ทิเมอัสได้อยู่ในความมืดบอดจะกระทั่งเขาได้พบกับองค์พระเยซูเจ้า และเราอยู่ในความมืดบอดเมื่อเรามีความเคลือบแคลงสงสัย เมื่อเรามีความเกลียด เมื่อเราใช้ชีวิตอยู่ในความหลงผิดและในอคติ เมื่อเราเลือกที่จะทำสิ่งไม่ดี ดังนั้นเราจึงสามารถที่จะอธิษฐานภาวนาด้วยความรู้สึกที่ออกมาจากหัวใจของเราเองตามแบบอย่างของบาร์ทิเมอัสว่า “พระเจ้าข้า โปรดให้ข้าพเจ้าได้แลเห็นด้วยเถิด” โปรดให้เราแลเห็นสิ่งที่มีความสำคัญจริงๆในชีวิตของเรา และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมดโปรดให้เราแลเห็นด้วยสายตาแห่งความเชื่อ
ณ ที่นี้บนโลกใบนี้ แม้ว่าเราจะมีความรู้สึกนึกคึดถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เราก็ยังไม่ได้เห็นพระองค์ เราจึงต้องพึงพอใจที่จะเดินบนหนทางแห่งชีวิตที่กำลังมุ่งไปสู่แผ่นดินแห่งพันธสัญญาโดยอาศัยแสงสว่างแห่งความเชื่อ
สวัสดี…วีรศักดิ์