บทอ่านจากคำบรรยายเพลงสดุดี โดยนักบุญออกัสติน พระสังฆราช
เราอย่าได้ขัดขวางการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ เพื่อเราจะได้ไม่ต้องกลัวการเสด็จมาครั้งที่สอง
“บรรดาต้นไม้ในป่าจะยินดีปรีดาเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้า เพราะพระองค์ เสด็จมาพิพากษาโลก” พระองค์ได้เสด็จมาแล้วครั้งแรก และพระองค์จะเสด็จมาอีก ในการเสด็จมาครั้งแรก พระองค์เองได้ทรงประกาศในพระวรสารว่า “ภายหน้าท่านจะเห็น บุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาเหนือเมฆ” ภายหน้า นี้พระองค์ทรงหมายถึงอะไร? พระองค์ มิได้ทรงหมายถึงว่าพระองค์จะเสด็จมาในอนาคต เมื่อทุกๆ ชาติในโลกจะข้อนอกด้วยความทุกข์ระทมหรือ? ก่อนนั้นพระองค์ได้เสด็จมา โดยทางผู้ประกาศพระวาจาของพระองค์ทั่วโลก เราอย่าได้ขัดขวางการเสด็จมาครั้งแรกของพระองค์ เพื่อเราจะได้ไม่ ต้องกลัวการเสด็จมาครั้งที่สอง
คริสตชนจึงควรทำอย่างไร? เขาควรใช้โลกให้เป็นประโยชน์ แต่ไม่ใช่เป็นทาสของโลก วาจานี้หมายความว่ากระไร? หมายความว่า มีก็เหมือนไม่มี ท่านอัครสาวก กล่าวไว้ดังนี้ “พี่น้องทั้งหลาย เวลาที่กำหนดไว้นั้นสั้นมาก นับแต่นี้ไปขอให้ผู้ที่มีภรรยาเจริญชีวิตเหมือนไม่มีภรรยา และให้ผู้ที่ทุกข์โศกเหมือนกับว่าไม่ทุกข์โศกเลย ให้ผู้ที่ยินดีเหมือนกับว่าไม่ยินดีเลย ให้ผู้ที่ซื้อเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเลย ให้ผู้ที่ทำการติดต่อกับโลกเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ติดต่อกันเลย เหตุว่า โลกที่เป็นอยู่นี้จะผ่านพ้นไป แต่ข้าพเจ้าอยากให้ท่านหมดกังวล” ผู้ที่ไม่มีกังวลย่อมคอยการเสด็จมาของพระเจ้าโดยปราศจากความกลัว เรารักพระคริสตเจ้าแบบไหนกัน จึงจะต้องกลัวพระองค์เสด็จมา? พี่น้องทั้งหลาย เราจะไม่ละอายหรือ ในเมื่อเรารักพระองค์ แล้วยังกลัวพระองค์เสด็จมา? เราแน่ใจหรือว่าเรารักพระองค์? หรือว่าเรารักบาปของเรามากกว่า? ดังนั้น ให้เราเกลียดบาปของเรา และรักพระองค์ผู้จะเสด็จมาลงโทษบาปของเรา เราอยากหรือไม่อยาก พระองค์ก็จะเสด็จมา อย่าได้คิดว่าเพราะพระองค์ไม่เสด็จมาเวลานี้ พระองค์ก็จะไม่เสด็จมาเลย พระองค์จะเสด็จมา ท่านไม่ทราบว่าเมื่อไร ขอแต่ให้พระองค์ทรงพบท่านเตรียมพร้อมอยู่ แม้ว่าท่านไม่รู้เวลาท่านก็ไม่เสียหายอะไร
“บรรดาต้นไม้ในป่าจะยินดีปรีดา” พระองค์ได้เสด็จมาครั้งแรกแล้ว และพระองค์จะเสด็จมาอีกเพื่อพิพากษาโลก พระองค์จะพบผู้ที่เชื่อว่าพระองค์จะเสด็จมานั้นกำลังชื่นชมยินดี ที่พระองค์เสด็จมา”
“พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความเที่ยงธรรม และพิพากษาประชากรด้วยความจริงของพระองค์” ความเที่ยงธรรมและความจริงคืออะไร? คือพระองค์จะทรง รวบรวมผู้เลือกสรรของพระองค์ไว้ใกล้พระองค์เพื่อพิพากษา แต่คนอื่นๆ พระองค์จะทรงแยกไว้ต่างหาก เพราะพระองค์จะให้พวกหนึ่งอยู่ทางขวาและอีกพวกหนึ่งอยู่ทางซ้าย อะไรจะเที่ยงธรรมและจริงยิ่งไปกว่านี้ คือผู้ที่ไม่ยอมแสดงความเมตตาปรานีก่อนที่ผู้พิพากษาจะเสด็จมา จะหวังในพระกรุณาของพระองค์ไม่ได้ เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแล้ว อย่างไรก็ดี ผู้ที่ยินดีแสดงความเมตตาปรานี เขาก็จะถูกพิพากษาด้วยพระทัยเมตตาปรานี เพราะพระองค์จะตรัสแก่ผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า “มาเถิด ท่านที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับอาณาจักรที่ได้เตรียมไว้สำหรับท่าน ตั้งแต่แรกสร้างโลก” แล้วพระองค์ทรงประกาศกิจเมตตาปรานีของเขาว่า “เพราะเมื่อเราหิวท่านได้ให้ เรารับประทาน เมื่อเรากระหายท่านก็ได้ให้เราดื่ม”
ผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายจะถูกกล่าวหาเรื่องอะไร? เพราะเขาไม่ยอมแสดงความเมตตาปรานี และพวกเขาจะไปไหน? “จงไปสู่ไฟนิรันดร” คำตัดสินลงโทษอันน่าสะพรึงกลัวนี้ จะทำให้พวกเขาคร่ำครวญ แต่เพลงสดุดีบทหนึ่งได้กล่าวไว้อย่างไร? ผู้ชอบธรรมจะมีคนระลึกถึงเขาอยู่เป็นนิตย์ เขาจะไม่กลัวคำกล่าวร้าย” คำกล่าวร้ายคืออะไร? “จงไปสู่ไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้สำหรับมารและสมุนของมัน” ผู้ที่ชื่นชมเมื่อได้ยินคำกล่าวที่ดี จะไม่กลัวคำกล่าวร้าย นี่คือความเที่ยงธรรม นี่คือความจริง
หรือว่าเพราะท่านไม่ยุติธรรม ท่านจึงหวังให้ผู้พิพากษาท่านไม่ยุติธรรมด้วย? หรือว่าเพราะท่านเป็นคนมุสา องค์ความสัตย์จริงจะไม่ตรัสความจริงหรือ? ยิ่งกว่านั้น ถ้าท่านปรารถนาจะได้รับความเมตตากรุณา จงมีความเมตตากรุณา ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมา จงอภัยแก่ผู้ที่ผิดต่อท่าน บริจาคสิ่งที่ท่านมีอย่างเหลือเฟือ สิ่งที่ท่านบริจาคนี้เป็นของใคร ถ้ามิใช่ของพระองค์? ถ้าท่านบริจาคสิ่งที่เป็นของท่านก็จะนับว่าท่านใจกว้าง แต่ในเมื่อท่านบริจาคสิ่งที่เป็นของพระองค์ก็เป็นแต่เพียงการชดใช้ “เพราะว่าท่านมีอะไรที่ท่านมิได้รับมาหรือ?” นี่แหละเป็นการเสียสละที่พอพระทัยพระเจ้ามากกว่า คือความเมตตากรุณา ความสุภาพ คำสรรเสริญ สันติสุขและความรัก ถ้าเรานำสิ่งเหล่านี้ขึ้นถวาย เราก็จะไม่กลัว แต่จะคอยการเสด็จมาขององค์ผู้พิพากษา “ผู้จะทรงตัดสินโลกและประชากรด้วยความเที่ยงธรรมและความจริงของพระองค์”…
“สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย” พระเยซูเจ้าตรัสประโยคนี้ ด้วยบางคนให้ข้อสังเกตว่า “พระวิหาร”มีหินและของถวายตกแต่งอย่างสวยงาม
แล้วพระองค์ก็ตรัสถึงเหตุการณ์มากมายที่จะเกิดขึ้น อาทิ
- หลายคนจะอ้างว่า “ฉันเป็นพระคริสต์” และบอกว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้ว” (จงอย่าตามเขาไป)
- มีข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ (จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่วาระสุดท้าย)
- ชาติหนึ่งลุกขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง
- อาณาจักรหนึ่งต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง
- แผ่นดินไหว
- โรคระบาด
- ความอดอยากอย่างใหญ่หลวง จะเกิดขึ้นหลายแห่ง
- เหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในท้องฟ้า
- เขาจะจับกุมท่าน เบียดเบียนท่าน ท่านจะถูกนำตัวไปไต่สวนในศาลาธรรม จองจำท่านในคุก นำตัวท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์ และผู้ว่าราชการเพราะนามของเรา
- บิดามารดา พี่น้องญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน
- ท่าน (บางคน) อาจจะถูกประหารชีวิต เพราะท่านจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะนามของเรา….
เหตการณ์ต่างๆ พระเยซูเจ้าตรัสถึงทั้งหมดเหล่านี้ ทรงตรัสกับเราเพราะทรงทราบดีว่า สักวันหนึ่ง สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นกับพระองค์ก่อน และแน่นอน จะเกิดขึ้นสำหรับทุกคนที่ “รัก เชื่อ ศรัทธา และพร้อมจะยืนหยัดเป็นพยานถึงพระองค์ ในสิ่งที่พระองค์ทรง “เป็น” และทรง “ทำ” มาตลอดพระชนมชีพของพระองค์ด้วย” - พระวิหารแรกที่พระเยซูเจ้าทรงตรัสถึงในวันนี้ คือ พระกายของพระองค์เอง ที่จะถูกทำลายโดยเงื้อมมือของคนที่หัวใจเต็มไปด้วยความเกลียดชัง อิจฉาริษยา และโหดร้ายรุนแรง เพียงเพราะสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และ ทรงทำ ตรงข้ามกับเขา
- พระวิหารที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงอีกยังรวมถึง ชีวิตของเราทุกคนที่เลือกดำเนินในรูปแบบเดียวกันกับพระองค์ เป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ ซึ่งแน่นอนว่าเราเองก็จะเจอกับคนที่ไม่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน
พี่น้อง พระองค์บอกกับเราไม่ได้ต้องการให้เราท้อแท้ ไม่ได้ต้องการให้เรารู้สึกผิดหวังที่เลือกติดตามพระองค์ สิ้นหวังที่เลือกปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และดำเนินชีวิตตามรูปแบบชีวิตของพระองค์ แต่ให้เราเตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เพราะมันจะเกิดขึ้นกับพระองค์ในเห็นเป็นตัวอย่างก่อน
ในความเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอของเรา มันอาจจะดูเป็นเรื่องน่าเศร้า หรือดูเหมือนว่าโชคร้ายที่เลือกติดตามพระเยซูเจ้า แล้วต้องเจอการเบียดเบียน การทรยศหักหลัง การเป็นที่เกลียดชัง และการทรมานต่างๆ ทั้งอาจะเกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ
แต่จะอย่างไรก็ตาม สักวันหนึ่งทุกสิ่งก็จะจบสิ้นลงอยู่ดี ทุกสภาวะของโลกใบนี้ล้วนต้องพบเจอกับ “การเกิดขึ้น คงอยู่ (ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง สั้นบ้าง ยาวบ้าง) แต่แล้วก็ดับลง” ดังนั้น สิ่งที่พระเยซูเจ้าตร้สย้ำกับเรา ไม่ได้ต้องการให้เรากลัว และท้อถอย แต่ย้ำให้เรา ยืนหยัดรักษาความเชื่อนี้ไว้จนวาระสุดท้าย และ การยืนหยัดนี้เองที่พระองค์ทรงสัญญาว่า แม้แต่เส้นผมบนศรีษะของเราแม้แต่เส้นเดียวพระองค์ก็จะทรงไม่ให้สูญเสียไปเลย
พ่อขอย้ำกับพี่น้องอีกครั้งหนึ่งว่า…..จงยืนหยัดมั่นคง ที่จะรักษาชีวิตแห่งความเชื่อที่เราเลือกแล้วด้วยความพากเพียร
อย่าทอดทิ้งพระองค์
อย่าตามคนที่อ้างตนเองเป็น พระคริสต์ แต่ปฏิบัติในสิ่งที่ตรงข้าม
อย่าเชื่อข่าวลือ โดยขาดการไตร่ตรอง
อย่านำความขัดแย้ง แต่จงรักษาและนำพาสันติสุข
ไม่ว่าแผ่นดินไหว จะมีโรคระบาด จะเกิดความอดอยากอย่างใหญ่หลวง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในท้องฟ้า
พี่น้อง ไม่ว่าเราจะยากจนหรือร่ำรวย เราก็เป็นวิหารของพระเจ้า และเพราะเหตุนี้ จงตกแต่งชีวิตของเราด้วยก้อนหินแห่งความรัก ความเมตตา และการให้อภัย จงประกอบคุณงามความดี ซึ่งจะกลับกลายเป็นของถวายที่งดงามซึ่งเราใช้ตกแต่งพระวิหารแห่งชีวิตของเรา สำหรับรองรับการประทับอยู่ขององค์พระเจ้าเถิด….
พ่อขอย้ำกับพี่น้องอีกเป็นครั้งที่สองว่า…..จงยืนหยัดมั่นคง ที่จะรักษาชีวิตแห่งความเชื่อที่เราเลือกแล้วด้วยความพากเพียร
เพราะทุกสิ่งจะ”เกิดขึ้น คงอยู่ (ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง สั้นบ้าง ยาวบ้าง) แต่แล้วก็ดับลง”
ขอพระเจ้าอวยพระพร…