อาทิตย์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 4 ของเทศกาลปัสกา ยังมีชื่อเรียกว่าวันนายชุมพาบาลผู้ใจดี ซึ่งหมายถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นนายชุมพาบาลที่รัก ห่วงใย ฝูงแกะของตน เรื่องเปรียบเทียบที่พระคริสตเจ้านำมาเล่า เป็นสภาพจริงของชาวยิวที่มีอาชีพเลี้ยงดูฝูงแกะ ถูกนำมาอธิบายเพื่อให้เข้าใจความหมาย ความผูกพันที่ลึกซึ้งระหว่างผู้เลี้ยงแกะหรือชุมพาบาลกับแกะของตน การเลี้ยงดูฝูงแกะเป็นอาชีพของชาวยิวทั่วๆ ไป ชุมพาบาลบางคนเป็นเจ้าของฝูงแกะ บางคนก็เป็นเพียงคนรับใช้ที่เจ้าของฝูงแกะจ้างให้ดูแล พวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่กับฝูงแกะ พาพวกมันไปยังสถานที่ที่มีหญ้า มีน้ำ แกะจะติดตามเจ้าของ แกะทุกตัวยังมีคุณสมบัติพิเศษ คือมันจะจำเสียงเจ้าของได้เป็นอย่างดี เมื่อถึงเวลาเย็น ผู้เลี้ยงแต่ก็จะพาแกะกลับมายังคอก ซึ่งมักจะทำเป็นคอกใหญ่ ผู้เลี้ยงหลายๆ คนจะพาแกะมานอนรวมกันในคอก จะช่วยกันดูแล เฝ้าระวังขโมย รวมถึงสัตว์ร้ายที่จะเข้ามาทำร้ายแกะ ในตอนเช้า ผู้เลี้ยงแต่ละคนก็จะมายืนตรงประตู ส่งเสียงเรียกแกะของตน ซึ่งมันจำเสียงเจ้าของได้ แกะจะเดินตามเสียงของผู้เลี้ยงซึ่งจะเดินนำหน้า แกะจะเดินตามไปยังสถานที่ที่ผู้เลี้ยงเลือกให้ แกะจะเล็มหญ้า ส่วนผู้เลี้ยงก็ทำหน้าที่เฝ้ามองคอยระมัดระวังมิให้มีสัตว์ร้ายเข้ามาทำร้าย รวมทั้งเฝ้ามองดูหากมีแต่ตัวใดออกห่างจากฝูงก็จะตามกลับเข้ามาในฝูง
ตอนเย็นเมื่อแกะเข้าคอก ผู้เลี้ยงก็จะนับแกะของตน หากพบว่ามีจำนวนไม่ครบ บางตัวหายไป เขาก็จะรีบออกไปตามหา ซึ่งเป็นไปได้ที่มีแกะหลงทาง รวมทั้งบางตัวบาดเจ็บ ตัวไหนที่บาดเจ็บ เดินไม่ได้เจ้าของก็จะจับมันแบกใส่บ่า เดินกลับมายังที่พัก การตามหาแกะจนพบเจอและได้แกะกลับมา เป็นความผูกพันระหว่างผู้เลี้ยงกับแกะของตนที่มีจิตใจห่วงใย รัก เอาใจใส่ดูแล เรื่องแบบนี้แหละที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาเปรียบเทียบ เป็นความรัก ความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีต่อเราทุกคน พระองค์เป็นนายชุมพาบาลผู้ใจดีและเราทุกคนเป็นแกะในฝูง
หากแกะทุกตัวเชื่อฟังแล้วรวมอยู่ในฝูง ชุมพาบาลก็จะก็ไม่เหนื่อย ภาพเปรียบเทียบจากบทสดุดีที่ 23 กล่าวถึงที่นายชุมพาบาลพาแกะไปกินหญ้า ที่ทุ่งหญ้าเขียวสด มีแหล่งน้ำ เป็นคำเปรียบเทียบว่าเราทุกคนเป็นแกะที่พระเจ้าทรงดูแลและจัดสิ่งที่ดีงาม ทั้งดูแลให้ชีวิตมีความสุข เป็นความยินดีของเราทุกคน พระเจ้าทรงใจดีเสมอ แต่ในความเป็นจริง เราทุกคนไม่ได้เป็นดังแกะที่น่ารัก ที่เชื่อฟัง ที่จะติดตามนายชุมพาบาลตลอดเวลา
การเปรียบเทียบเรื่องในชุมพาบาลผู้ใจดี เป็นภาพที่งดงามและมีความหมายชัดเจน แต่เมื่อนำมาเทียบเคียงกับความเป็นมนุษย์ ที่อธิบายความว่านายชุมพาบาลคือพระเจ้าผู้ใจดี ส่วนฝูงแกะหมายถึงพวกเราทุกคน ก็จะเห็นเพียงส่วนของนายชุมพาบาลที่ใจดีเสมอไม่เสื่อมคลาย พวกเราเป็นฝูงแกะ ที่ไม่อยู่รวมกันเป็นฝูง ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไม่เดินตามที่ที่นายชุมพาบาลพาไป ทำความลำบากให้กับผู้เลี้ยง ที่ต้องออกตามหาทุกวัน และไม่ใช่แค่ตัวเดียวแต่มีจำนวนมากมายที่เดินออกนอกฝูง มีทั้งหลงทางและหาทางกลับด้วยตัวเองไม่ได้ ทั้งที่กำลังบาดเจ็บ ต้องการการเยียวยารักษา แต่นายชุมพาบาลผู้ใจดียังคงเฝ้าดูแลและเอาใจใส่อยู่เสมอ
นักเทววิทยาได้อธิบายความหมายนิทานเปรียบเทียบเรื่องนี้ ประการแรก การเสียสละและการตายของพระเยซู เป็นคำพูดที่พระเยซู ได้บอกกล่าวไว้ล่วงหน้าแล้วว่า พระองค์เป็นนายชุมพาที่ยอมมอบชีวิตเพื่อฝูงแกะ ประการที่ 2 คือเรื่องความเป็นหนึ่งเดียว พระองค์บอกไว้ล่วงหน้า ถึงเรื่องคนต่างศาสนาจะมีความเชื่อในพระองค์ และทุกคนที่มีความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือคนต่างชาติจะรวมอยู่เป็นแกะฝูงเดียวกัน ติดตามนายชุมพาบาลคนเดียวกัน ประการที่ 3 ความรักของพระเยซูเจ้าที่มีต่อคนบาป เปรียบเทียบการหายไปของแกะ แสดงให้เห็นถึงความรักความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปแต่ละคน แกะหลงทางหมายถึงคนบาปที่เชื่อในการชักชวนของปีศาจและความโน้มเอียงในบาป แยกตัวออกจากพระเยซูเจ้า ปิดกั้นตัวเองจากกลุ่มของผู้มีความเชื่อ แต่พระเยซูไม่เคยหมดความรักจากคนพเนจรเหล่านี้ คงติดตามทำงานเพื่อการกลับใจของพวกเขา ทรงเดินตามหลังคนบาป เชื้อเชิญให้เขาหันกลับมาหาพระองค์ และเมื่อใดที่เขาหันหลังกลับก็จะเจอนายชุมพาบาลผู้ใจดีอยู่ที่นั่น.
สวัสดี…พ่อเจ้าอาวาส