อาทิตย์นี้ พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม หากเราจินตนาการตามเนื้อหาในพระวรสาร เราคงเห็นภาพพระเยซูเจ้าที่ยืนดูอย่างละเหี่ยใจ หมดหวัง หรือ อาจเป็นไปได้ที่จะรู้สึกโกรธ โมโห ที่เห็นว่าบริเวณพระวิหารของพระเจ้า มีพ่อค้ายืนขายโค มีพ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ คล้ายกับตลาดที่มีผู้คนเดินเข้าออกขวักไขว่ ซื้อของ ขายของหารายได้กับผู้ที่มายังพระวิหารนี้ มีการแลกเงินซื้อสัตว์เพื่อนำไปถวายเป็นเครื่องบูชาด้วยราคาสูงแบบขูดเลือดขูดเนื้อ พระเยซูเจ้าทรงยืนมองและคงรู้สึกเสียพระทัยอย่างมากจริงๆ ที่สถานนมัสการพระเจ้า ไม่ได้เป็นแหล่งรวมของความรักแต่กลับเป็นแหล่งรวมของรายได้อันมาจากธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยนที่สูงมาก และการค้าขายที่มุ่งกำไรจนเกินควร ขูดเลือดขูดเนื้อผู้คน พระองค์จึงทรงใช้เชือกเป็นแส้ ขับไล่ทั้งคนและสัตว์ คว่ำโต๊ะแลกเงิน แล้วตรัสว่า “จงนำของเหล่านี้ออกไป อย่าทำบ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด”…
พี่น้องครับ พระวรสารวันนี้ให้แง่คิดที่เกี่ยวข้องกับ “พระวิหาร” ใน 3 มุมมอง
มุมมองแรก พระวิหารในลักษณะของตัวโบสถ์ที่เป็นอาคาร
ปัจจุบัน เรามีวัดที่เป็นศูนย์กลางของชีวิตคริสตชน เป็นสถานที่มีหัวใจหลัก คือ เพื่อให้ทุกคนมารวมตัวกัน สรรเสริญ โมทนาพระคุณพระเจ้า ขอบคุณพระสำหรับชีวิต และขอพระคุณและพระพรที่จำเป็นเพื่อการดำรงชีวิตของเรา
วัด หรือ ที่ประทับของพระเจ้า จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ศาสนิกชนใช้เพื่อประกอบศาสนพิธี กิจศรัทธา ภาวนาทั้งส่วนตัวและร่วมกัน ดังนั้น บรรยากาศของวัด จึงควรอบอวลไปด้วยความสงบ ร่มรื่น ให้ความรู้สึกร่มเย็นแก่ผู้ที่มาเยือนให้สามารถปฏิบัติกิจศรัทธาใดๆ ก็ตามที่ช่วยสร้างเสริมการภาวนา ความศรัทธาทั้งภายนอกและภายใน สร้างเสริมชีวิตจิตวิญญาณในดำรงอยู่ในสติ มีความสุข สงบ สันติเมื่อกลับออกไปสู่โลกภายนอก จึงไม่แปลกที่ วัดมักจะขอร้องและเชิญชวนพี่น้องให้ตระหนักถึงการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อย ใช้คำพูด และแสดงออกซึ่งอากัปกิริยามารยาทที่สงบเสงี่ยม ที่สำคัญ ควรให้เกียรติสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยการช่วยกันสร้างบรรยากาศของความเงียบ ละเว้นการทำกิจใดๆที่ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมรบกวนการภาวนาและการปฏิบัติกิจศรัทธาของผู้อื่น ดังนั้น เมื่อพระวิหารของพระเจ้าไม่ได้เป็นบรรยากาศของการสร้างเสริมความศรัทธา แต่กลับมีการค้าขาย ฯลฯ ที่ทำให้พระวิหารกลายสภาพจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นตลาดเพื่อการค้า “เงินจึงกลายปัจจัยสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับจิตใจและจิตวิญญาณมากกว่าพระเจ้า พระเยซูเจ้าจึงทนไม่ได้จริงๆ สำหรับการกระทำเช่นนี้ ถ้าปล่อยให้เกิดแบบนี้ขึ้นจนกลายเป็นปกติวิสัย มนุษย์กำลังอนุญาตให้ “เงินเข้ามาแทนที่พระเจ้า แม้แต่ในพระวิหารของพระองค์”
มุมมองที่สอง พระวิหารในความหมายของพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ วิถีชีวิตของกลุ่มคริสตชน
ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นท่ามกลางเขา และที่ใดก็ตามที่พระเจ้าประทับอยู่ที่นั่นก็เป็นพระวิหารของพระเจ้าด้วย พี่น้อง เราคริสตชนคือกลุ่มคนที่มีวิถีชีวิตบนความเชื่อเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พระเจ้าทรงเรียกเราให้ติดตามพระองค์ ทรงต้องการให้เราสร้างพระวิหารของพระองค์ท่ามกลางพี่น้องต่างศาสนา ให้ทุกคนที่เห็นเราเห็นพระเจ้าผู้ทรงประทับท่ามกลางเรา นำทางชีวิตของพวกเรา เป็นกลุ่ม เป็นหมู่ไม่เพียงแต่ไปรวมตัวกันปฏิบัติศาสนกิจในวัด แต่เป็นพระวิหารของพระเจ้าที่ตั้งเด่นเป็นสง่าท่ามกลางพี่น้องต่างศาสนาผ่านรูปแบบหรือวิถีชีวิตที่เราแสดงออกต่อกันด้วยความรัก ความเมตตา ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล และให้อภัยแก่กันและกัน เหมือนที่พระเจ้าทรงรักและให้อภัยเรา เป็นหนึ่งเดียวกันในพระบิดา พระบุตร และพระจิตศูนย์กลางของชีวิตคริสตชน
และมุมมองที่สาม พระวิหารอันหมายถึงชีวิตของเราแต่ละคน ชีวิตที่ถูกสร้างให้มีร่างกายเป็นดุจดังพระวิหารของพระเจ้า จิตใจภายในของเราเป็นที่ประทับของพระองค์ ภายนอกที่รูปลักษณ์อาจจะแตกต่างกัน แต่เป็นรูปลักษณ์ที่สะะท้อนให้เห็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิต ทรงสร้างเรา และทรงสถิตอยู่ภายในตัวเรา ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องรัก และดูแลชีวิต อันหมายถึงร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณของเราให้สง่างามสุกใสด้วยคุณงามความดี เมื่อเราทำบาป ทั้งหนักและเบา เรากำลังทำให้พระวิหารของพระเจ้ารกรุงรังไปด้วยสิ่งปฏิกูล ด้วยเหตุนี้ พระเยซูเจ้าจึงทรงสอนและตักเตือนเราให้ตระหนักเสมอว่า จงอย่าทำบ้านของพระบิดาของเราให้เป็นตลาด จงอย่านำสิ่งที่ไม่เหมาะสมไปสะสมตกแต่งอยู่ในพระวิหารแห่งชีวิตซึ่งพระเจ้าทรงประทับอยู่ แต่จงชำระ ละทิ้งเสียให้สิ้น ท่าทีของพระเยซูเจ้าในวันนี้ ทำให้บรรดาศิษย์ระลึกถึงคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ที่ว่า “ความรักที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์เป็นเสมือนไฟที่เผาผลาญข้าพเจ้า” และเราเองด้วยเช่นเดียวกัน ที่ต้องตระหนักถึง ดังนั้น ควรชำระเสียให้หมดสิ้น อย่ารอให้ถึงวันที่พระเจ้าทรงจัดการชำระด้วยพระองค์เอง ถึงแม้ว่าจะทรงรักเราเพียงใด ก็จะทรงตีสอนเรา เพราะไม่อาจปล่อยเราให้พินาศไปได้
คำถามคือ
1.ทุกวันนี้ สำหรับเรา วัด เป็นวิหารของพระเจ้าที่เราเดินเข้าไปนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณหรือไม่
2.วิถีชีวิตของเราคริสตชนทุกวันนี้ เป็นวิหารที่โดดเด่นเป็นสง่า อบอวลไปด้วยความรัก ความเป็นหนึ่งเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน ท่ามกลางพี่น้องต่างศาสนาหรือไม่
3.ทุกวันนี้ เราใช้ร่างกายของเราปฏิบัติ สร้างสมคุณงามความดีหรือไม่ หรือเราปล่อยตัว ปล่อยใจไปในความบาป หลงระเริงไปกับสิ่งต่างๆ ที่ไม่อาจนำพาชีวิตของเราไปในทางแห่งความชอบธรรม ขาดการสำนึกรู้ตัว ไม่กลับใจ ไม่ขอการอภัยจากพระเจ้าด้วยศีลอภัยบาปเป็นประจำ ปล่อยให้เงิน หรือวัตถุภายนอก มานำเราให้ออกห่างจากพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของชีวิตของเราหรือไม่
พี่น้อง ขอให้พระวิหารของพระเจ้าเป็นบ้านเพื่อการภาวนา และการนมัสการด้วยจิตวิญญาณ ความรักและความจริง อย่าปล่อยให้ชีวิตของเราเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล เพราะเรากำลังทำให้พระวิหารของพระเจ้าหม่นหมองไปด้วยความบาปผิด พระเจ้าต้องการสร้างสัมพันธ์กับเรา มากกว่าเครื่องบูชาที่มาจากความอยุติธรรม ต้องการความรัก ความซื่อสัตย์จากเรามากกว่าการคดโกง
ขอให้รักษาชีวิต จิตใจ และจิตวิญญาณของเราให้คู่ควรกับการประทับอยู่ของพระเจ้าเสมอ
ขอพระเจ้าอวยพระพร.