“บรรดาศิษย์ยังคงไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าทูลถาม”
พระเยซูเจ้ากำลังเดินทางจากซีซารียา ฟิลิปปีซึ่งอยู่ทางเหนือมุ่งสู่ทางใต้ซึ่งมีเป้าหมายอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม แน่นอนว่าต้องผ่านกาลิลี ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระองค์รู้สึกปลอดภัย แต่ในครั้งนี้นั้นพระองค์ “ไม่ทรงต้องการให้ผู้ใดรู้” (มก 9:30)
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเยซูเจ้ากล่าวถึงพระทรมานของพระองค์ “บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย เขาจะประหารชีวิตพระองค์ แต่เมื่อถูกประหารแล้ว ในวันที่สามพระองค์จะกลับคืนชีพ” และบรรดาศิษย์ยังคงไม่เข้าใจ แต่ไม่กล้าทูลถาม (มก 9:32)
พระเยซูเจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ใช้คำเปรียบเทียบอะไรเลย พระองค์จะถูกจับ ถูกประหารชีวิต และกลับคืนชีพในวันที่สาม แต่บรรดาศิษย์ยังคงไม่เข้าใจ และที่เลวร้ายที่สุดคือ “ไม่กล้าทูลถาม”
บรรดาศิษย์ไม่ต้องการแสดงออกถึงความไม่รู้ ก่อนหน้านี้เปโตรก็เข้าใจผิดและแสดงออกอย่างไม่เหมาะสมด้วยการไปดุพระเยซูเจ้า (มก 8:33) และถูกพระเยซูเจ้าตำหนิกลับมาอย่างรุนแรง พวกเขาอาจเห็นสิ่งที่เปโตรโดนมาจึงไม่กล้าถามเพราะกลัวคนอื่นรู้ว่าไม่รู้
เมื่อเรามีข้อสงสัยในบางเรื่อง เรากล้าถามไหม? และถามด้วยท่าทีแบบใด
การถามอาจทำให้เราดูโง่ แต่ก็จะโง่แค่วันเดียว หากเราไม่ถามเราจะโง่ตลอดไป
ไม่ใช่แค่เรื่องกางเขนของพระเยซูเจ้า พระวาจาของพระองค์ คำสอนต่างๆ เท่านั้นที่เราควรถามเมื่อไม่รู้ แต่เรื่องอื่นๆ ในชีวิตเราก็ควรถามด้วยเช่นกัน และถามด้วยท่าทีที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่เพื่อจับผิดหรือจุดประสงค์อื่น
เราอาจเคยได้ยินเรื่องราวไม่น่ารักของคนอื่นมา หรือได้ยินเรื่องที่ทำให้เข้าใจบุคคลหนึ่งในแง่ลบ แต่จะมีสักกี่ครั้งที่เราเข้าไปถามว่าเรื่องที่ได้ยินมานั้นจริงไหม? หรือเราเลือกจะตัดสินไปแล้วว่าบุคคลที่เราได้ยินเรื่องราวมาเป็นเช่นนั้นทั้งๆ ที่ไม่เคยสัมผัสเลย ไม่เคยถามเลย ไม่เคยประสบเรื่องราวอย่างที่ได้ยินมาเลย?
เหมือนกับบรรดาศิษย์ที่คิดเอาเองว่าพระเยซูเจ้าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่ไม่เคยถามพระองค์ ขนาดพระองค์บอกแล้วว่าพระองค์เป็นใคร ต้องทำอะไร พวกเขาไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าถาม..
<ลาซารัส>..