“กษัตริย์ชาวยิวที่เพิ่งประสูติอยู่ที่ใด พวกเราได้เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้น”
เรื่องราวการบังเกิดของพระเยซูเจ้าที่เราได้ยินจากพระวรสารนักบุญมัทธิวจะแตกต่างจากที่เราได้ยินจากพระวรสารนักบุญลูกาพอสมควร มัทธิวเล่าเรื่องโหราจารย์แทนที่จะเล่าเรื่องชุมพาบาล เล่าถึงพระราชวังของเฮโรดแทนที่จะเล่าถึงคอกสัตว์ เล่าว่าพระเจ้าตรัสผ่านความฝันแทนที่จะตรัสผ่านทูตสวรรค์
“โหราจารย์บางท่านจากทิศตะวันออก เดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม” (มธ 2:1) บางที่เรียกคนกลุ่มนี้ว่าเป็น “กษัตริย์” (อย่างเพลง “เราทั้งสามกษัตริย์บูรพา” เป็นต้น) เพื่อเชื่อมโยงกับข้อความในเพลงสดุดีที่ 72 ซึ่งกล่าวถึงกษัตริย์ส่งบรรณาการมาถวาย นอกจากนี้เราเรียกพวกเขาว่าเป็นโหราจารย์เพราะพวกเขาสังเกต “ดาว”
โหราจารย์จะแวะหาเฮโรดเพื่อสอบถามเส้นทางเท่านั้น โดยให้ข้อมูลว่าพวกเขา “เห็นดาวประจำพระองค์ขึ้นทางทิศตะวันออก” แม้ว่านักดาราศาสตร์พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับการปรากฏของดวงดาวในช่วงเวลานั้น อาจเป็นดาวหางฮัลเลย์ที่ปรากฎในปี 11 ก.ค.ศ. หรือปรากฎการณ์ของดาวพฤหัสและดาวเสาร์ในปี ค.ศ. 7 แต่ไม่มีข้อสรุปแน่นอนนอกจากข้อมูลในพระคัมภีร์ ดังนั้น ดวงดาวที่ที่พวกโหราจารย์สังเกตเห็นอาจเป็นปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติ พวกเขาจึงได้ออกเดินทางเพื่อตามหาความหมายของดวงดาวนั้น
เราอาจสงสัยเล็กน้อยว่าทำไมบรรดาโหราจารย์จึงไปสอบถามเส้นทางจากเฮโรด ไม่ไปถามคนธรรมดา? แต่การไปสอบถามเฮโรดก็ดูมีเหตุผล เพราะถ้าจะมีกษัตริย์บังเกิดก็ควรเป็นที่พระราชวัง ในเมืองหลวง แต่สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์เลือกบังเกิดในท่ามกลางบุคคลที่พร้อมต้อนรับพระองค์เท่านั้น ไม่สำคัญว่าจะเป็นใครก็ตาม
มัทธิวไม่ได้บอกว่าคนอื่นเห็นดวงดาวนี้ด้วยไหม? หรืออาจจะเห็นแต่ไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมีคนพูดขึ้นมา เหมือนกับเฮโรดที่อาจจะเห็นดาวดวงนี้ แต่ไม่ได้สนใจ พอมีคนถาม รู้ความหมายจึงเริ่มคิดมาก และที่สุดก็มุ่งทำลาย
ภาพของความยินดีของคนต่างชาติที่ได้พบพระกุมาร แตกต่างกับความกังวลของเฮโรดและความวุ่นวายในเยรูซาเล็ม ชาวยิวควรจะชื่นชมยินดี แต่กลับเป็นคนต่างชาติที่ชื่นชมยินดีในการบังเกิดของพระกุมาร
…ลาซารัส…