“คนดีย่อมนำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีในใจของตน”
พระวรสารวันนี้เป็นนิทานเปรียบเทียบสามเรื่อง (จากสี่เรื่องในพระวรสารนักบุญลูกาตอนนี้) ได้แก่เรื่องคนตาบอดนำทางคนตาบอด เศษฟางในตาของเพื่อนพี่น้อง ต้นไม้ดีย่อมให้ผลดี
ทั้งสามเรื่องในวันนี้บอกกับเราว่าให้เราปฎิบัติตนเองให้ดีก่อนที่จะไปสอนหรือตักเตือนคนอื่น
คำสอนในวันนี้ชวนให้เราคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่มีไลฟ์โค้ช หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องต่างๆ ปรากฏขึ้นมากมายในโลกออนไลน์ บางครั้งก็เชี่ยวชาญจริงๆ บางครั้งก็แสร้งว่าเชี่ยวชาญ ที่สุดแล้วหากไม่ได้เชี่ยวชาญจริงๆ ผลร้ายก็เกิดกับบุคคลที่ลอกเลียนแบบ พระเยซูเจ้าสอนย้ำว่า “ทุกคนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดีแล้วก็จะเป็นเหมือนอาจารย์ของตน” (ลก 6:40) เพื่อต้องการให้กำลังใจผู้ที่กำลังพยายามพัฒนาปรับปรุงตนเองให้สามารถสอนและเป็นแบบอย่างให้กับคนอื่นได้
แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นของจริง?
พระเยซูเจ้าบอกไว้ในตอนท้ายของพระวรสารวันนี้ “เรารู้จักต้นไม้แต่ละต้นได้จากผลของต้นไม้นั้น” ถ้าเป็นคนมีของจริงๆ บุคคลนั้นย่อมแสดงสิ่งที่มีอยู่ออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เสแสร้ง และแน่นอน คนดีย่อมคิดดีทำดี การแสดงกับผู้อื่นอย่างดีบ่งบอกถึงธรรมชาติของบุคคลคนนั้น
แต่ก็มักจะมีคำพูดเกิดขึ้นว่าบุคคลหนึ่งทำดีเพราะเขาเป็นคนดีหรือเขาเสแสร้งกันแน่?
อยากให้ลองถามก่อนว่า เราเกิดความคิดเช่นนั้นเพราะอะไร? เพราะเขาเป็นแบบนั้นจริงๆ หรือเราคิดว่าเขาเป็นแบบนั้น?
ถ้าพระเยซูเจ้าบอกว่า “คนดีย่อมนำสิ่งที่ดีออกจากขุมทรัพย์ที่ดีในใจของตน” การเห็นคนอื่นทำดีแล้วไม่ชอบใจ เห็นคนปฏิบัติดีกับเราแล้วเรารู้สึกอึดอัด เราอาจต้องถามตัวเองว่าแล้วในใจของเรามีขุมทรัพย์แบบไหนกันแน่ ขุมทรัพย์ที่ดีหรือไม่ดี เพราะสิ่งเราเป็นอยู่จะสะท้อนออกมาผ่านทางความคิดและมุมมองการใช้ชีวิตของเรา.
…ลาซารัส…