“ความรักของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง
ความดีงามและชีวิตของคนดีมีธรรมไม่มีสิ่งใดผลักให้ห่างไกลพระองค์“
“ในวันนี้ ข้อความในพระคัมภีร์ที่ท่านและฉันได้ยินเป็นความจริง” (…ด้วยชีวิตและความดีงามในชีวิตของฉัน) (เทียบ ลก 4:21)
เด็กน้อยคนหนึ่ง รู้สึกเหงาๆเพลินๆจึงก้มลงไปหยิบก้อนหินน้อยๆก้อนหนึ่ง แล้วปาลงไปในบ่อน้ำแห่งหนึ่ง เด็กน้อยรู้สึกทึ่งกับภาพที่ได้เห็น… ก้อนหินก้อนน้อยๆก้อนนั้นกระแทกลงไปที่ผิวน้ำ…ยังไม่พอมันกระดอนขึ้นมาและกระโดดออกไปได้อย่างกับกบตัวน้อยๆ กระโดดได้อีกสองสามก้าวแล้วก็จมหายลงไปใต้ผิวน้ำอย่างเงียบสงบ ไม่ส่งสัญญาณใดใดขึ้นมาอีก เด็กน้อยยังพบอีกว่า… ก้อนหินน้อยๆยังส่งแรงทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมเป็นวงค่อยๆกว้างออกไปกว้างออกไป… ที่สุดวงน้ำนั้นออกไปกระทบขอบบ่อน้ำและก็หมดแรงลงไป แล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หากบอกกัน เราจะเชื่อกันไหมว่า… “คุณความดี ความดีงาม และชีวิตของคนดีมีธรรม มันส่งผลกระทบไปถึงเราทุกคน และส่งออกไปเป็นวงกว้าง ใครต่อใครก็ได้รับผลกระทบจากความดีงามของพวกท่านเหล่านี้ ใครต่อใครก็สามารถสัมผัสกับความงดงามของหัวใจของเขาได้”
เมื่อสองสามวันที่ผ่านมามีพิธีปลงศพ อดีตครูหญิง วัย 69 ปี ท่านหนึ่ง “มารีอา ประนอม ตรีธารา หรือ ครูเตี้ย” ที่หลายคนรู้จักกันดี ยี่สิบกว่าปีมานี้ ท่านเก็บตัวทำงานของพระศาสนจักร เก็บตัวเองอยู่อยู่ในห้องเล็กๆเพื่อทำงานบริการให้กับแผนกเล็กๆแผนกหนึ่งของพระศาสนจักร
“ในวันนี้ ข้อความในพระคัมภีร์ที่ท่านและฉันได้ยินเป็นความจริง” (…ด้วยชีวิตและความดีงามในชีวิตของฉัน) (เทียบ ลก 4:21)
ไม่มีอะไรจะมาบดบังกลิ่นหอมหวนของความดีงามในชีวิตในชีวิตของคนเราได้ แม้ว่าครูเตี้ย จะทำงานเล็กๆในห้องน้อยๆ แต่การจากไปของท่าน กระทบออกไปเป็นวงกว้าง ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องยอมรับด้วยสุดใจ มีพระสงฆ์ไม่น้อย มีนักบวชและเป็นต้นญาติพี่น้อง ผู้คนมากมายรู้และสะเทือนใจจากการจากไปของท่าน แม้แต่พนักงานทำความสะอาด แม้แต่แม่ค้าขายข้าวที่เป็นพี่น้องพุทธศาสนิกชน ก็ยังมาร่วมจิตร่วมใจในวันที่ท่านเดินทางสู่บ้านของพระบิดาตามที่ท่านปรารถนามาตลอดชีวิต
“วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่พระ อย่าร้องไห้ แต่จงชื่นชมยินดี ทานเลี้ยง และแบ่งปันอาหารและความสุข
ให้ผู้ไม่มี…เพราะความยินดีจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นพละกำลังของท่านและเรา” (เทียบ นหม 8:9-10)
ขอยกนำบทเทศน์เตือนใจของคุณพ่อ ชวลิต กิจเจริญ ในมิสซาปลงศพครั้งหนึ่งเมื่อเกือบสิบปีกว่ามาแล้ว (ไม่ทราบว่าคุณพ่อท่านจะจำได้ไหม แต่สำหรับพ่อ จำเรื่องราวน่าประทับใจนี้ได้ตลอดมา) ท่านแนะนำในบทเทศน์ประมาณว่า ชีวิตคนเรา เราสั่งสมคุณธรรมความดีงามมากมาย ชีวิตของเราเปรียบดังดอกไม้ที่งดงาม แล้ววันหนึ่งพระเป็นเจ้าก็ได้เดินมาที่สวนดอกไม้แปลงนี้และพบเห็นดอกไม้งดงามดอกนี้ พระองค์ได้ตัดก้านและนำดอกไม้เดินกลับไปปักลงในแจกันในบ้านของพระองค์… แล้วเราจะไม่สุขใจรึ? เราจะไม่ชื่นชมยินดีหรือ? ที่บุคคลที่เรารักเราผูกพันนั้นท่านได้รับโอกาสจากพระบิดา นำชีวิตของท่านเดินทางจากโลกนี้ และไปประดับอยู่ในบ้านของพระองค์
ชีวิตเล็กๆสงบๆในห้องน้อยๆ แต่ส่องแสงสว่างถึงคุณธรรมความดีงาม จิตใจที่งดงาม อีกทั้งความรักของพระบิดากระจายและกระทบออกไปเป็นวงกว้างของ “ครูเตี้ย” ได้ถูกพิสูจน์ ประดุจเนื้อทองบริสุทธิ์ในเบ้าหลอม ว่าท่านเป็นลูกที่น่ารักของพระบิดา ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะถูกนำไปประดับในบ้านของพระองค์ ถึงเวลาพักผ่อนอย่างสงบของท่านแล้ว…
“วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่พระ อย่าร้องไห้ แต่จงชื่นชมยินดี ทานเลี้ยง และแบ่งปันอาหารและความสุข
ให้ผู้ไม่มี…เพราะความยินดีจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นพละกำลังของท่านและเรา” (เทียบ นหม 8:9-10)
ขอบพระคุณพระบิดาที่ได้เพาะปลูกชีวิตของท่านให้ท่านได้เติบโต และพวกเราได้พบและชื่นชมกับความงดงามของท่าน ขอบคุณที่พระองค์ทำให้เราเห็นอีกครั้งหนึ่งว่า “ความรักของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงและชีวิตของคนดีมีธรรมดึงให้เรากลับมาใกล้ชิดพระองค์เสมอ” หลับให้สบายเถิด “ครูเตี้ย…น้าเตี้ย” ของเรา
“พระจิตทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า ตั้งข้าพเจ้าให้ออกไปมอบข่าวดี…
มอบสันติสุขแก่คนยากจน เป็นแสงสว่างให้เพื่อนพี่น้อง
และบอกพวกเขาว่าพระรักเรา…ด้วยความรักจากชีวิตของเรา“(เทียบ ลก 4:18-19)