ชีวิตที่โกหกหลอกลวงหลังรับศีลมหาสนิท
วันนี้สมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า หรือ ที่เรียกกันในภาษาเก่าว่า “สมโภชพระกายา” แต่จะขอเรียกสั้นๆไม่ให้เยิ่นเย้อ ยืดยาด มากเรื่องว่าวัน “ฉลองศีลมหาสนิท”
ฉลองศีลมหาสนิทก็คือ การฉลองขอบพระคุณพระเป็นเจ้าที่ได้ทรงมีพระเมตตาล้นพ้น ประทานตัวของพระองค์เองทั้งครบให้แก่เรา โดยมีจุดประสงค์เพียงอันเดียวคือ เพื่อสร้างความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวระหว่างเรากับพระองค์
ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวระหว่างเรากับมนุษย์เป็นสิ่งที่พระองค์ปรารถนา ดังนั้นเราจึงเรียกศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้ในสมัยโบราณว่า ศีลมหาสนิท คือ ศีลที่จะนำความสนิทเป็นหนึ่งเดียวให้เกิดขึ้นระหว่างเรากับพระเยซูเจ้าเป็นความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวที่ยิ่งใหญ่ เหนือกว่าความสนิทสัมพันธ์อื่นใดในโลก
เมื่อความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว คือ เป้าหมายหลักของศีลนี้ การรับศีลจะต้องสร้างให้เกิดหรือนำไปสู่ ผลที่จะแลเห็นได้ภายนอก อันเป็นเป้าหมายของศีลนี้
ศีลมหาสนิทนำไปสู่ชีวิตที่เป็นหนึ่งระหว่างเรากับพระเยซู ดังนั้นเมื่อทุกคนเห็นเราก็เท่ากับได้เห็นองค์พระเยซูเจ้าในตัวเรา หรือ เมื่อทุกคนพูดคุยกับเรา เขาจะต้องรู้สึกได้ว่าเขากำลังพูดคุยกับองค์พระคริสตเจ้าในตัวเรา
คำถามคือ เราส่วนใหญ่รับศีลกันมาเกือบตลอดชีวิต และบางคนแทบจะทุกวัน ผลแห่งความเป็นหนึ่งนี้เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเราหรือยัง? เราแต่ละคน รวมทั้งตัวผู้เขียนบทความนี้ ก็คงจะตอบได้ด้วยตัวเอง
แต่ผลที่ยิ่งใหญ่สุด ถูกกล่าวไว้ในจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 ในวันนี้ ในข้อความสุดท้ายของจดหมาย
“ทุกครั้งที่ท่านกินปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ ท่านก็ประกาศการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” (1 โครินธ์ 11:26)
ประกาศไม่ได้แปลว่า พูดด้วยปาก แต่ว่า ประกาศ แปลว่า ดำเนินชีวิตให้เห็นเป็นสักขีพยาน
พวกเรายังคง หลงเจิ่นอยู่กับคำว่า ประกาศข่าวดีด้วยความคิดที่ว่า ประกาศข่าวดี คือ การทำให้คนอื่นรู้จักพระวาจาและคำสอนของพระเยซูเจ้า ดังนั้นงานประกาศข่าวดีจึงมุ่งไปที่การสอนคำสอน สอนพระวาจา แต่ความหมายของการประกาศข่าวดีคือ การดำเนินชีวิตเป็นสักขีพยาน ดำเนินชีวิตให้เขาดูว่า สิ่งที่พระเยซูเจ้าสอนนั้นเราเอาไปทำจริงๆ ในชีวิตของเรา
แต่ถ้ามุ่งแต่สอนคำสอน สอนพระวาจา แต่ชีวิตไม่ได้ปรากฏให้เห็น หรือ เราไม่ได้ดำเนินชีวิตให้เขาดู การประกาศข่าวดีนั้นไร้ผล
ประกาศการสิ้นพระชนม์ของพระองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือประกาศการตายของพระเยซูเจ้าคือ อะไร? ก็คือ ดำเนินชีวิตให้เขาดูว่าพระเยซูเจ้าได้ตายจริงๆในตัวเรา
ความตายของพระเยซูเจ้า ไม่ใช่ อุบัติการณ์ของการถูกตอกตรึงบนไม้กางเขนและพระเยซูเจ้าค่อยๆหมดลมหายใจไปทีละเล็กทีละน้อย จนที่สุด ณ ลมหายใจสุดท้ายพระวิญญาณของพระองค์ก็สละละทิ้งร่างของพระองค์ไป
ความตายคือการทิ้งร่างที่เป็นวัตถุทางกายภาพและ ณ เวลาแห่งความตาย มนุษย์ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของโลกนี้ แม้กระทั่งร่างกายของตนเอง วิญญาณแยกออกจากร่างกาย
ความตายของพระเยซูเจ้า เริ่มต้นตั้งแต่วันที่พระองค์ ยอมปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา โดยลงมาบังเกิดในพระครรภ์ของแม่พระ
“แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้นเป็นสมบัติที่ต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์” (ฟิลิปปี 2:6-7)
สละพระองค์จนหมดสิ้น คือการละทิ้งสภาพ หรือ ภาษามนุษย์เรียกว่าตาย
เมื่อบังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ดำเนินชีวิต แบบสละพระองค์จนหมดสิ้น (ตาย) เช่นกัน คือ ทรงดำเนินชีวิตอย่างยากจน ไม่สะสมทรัพย์สมบัติ ไม่สะสมเกียรติ ไม่แสวงหาโภคทรัพย์ ไม่แต่งตัว หรือกินอยู่อย่างหรูหรา ไม่เลือกคบคน ประเภท รวยเอา จนไม่เอา แต่ทรงคบค้าสมาคมกับคนทุกฐานะทุกระดับทั้งรวย จน คนดี และคนบาป
ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น(ตาย) ด้วยการยอมมอบพระองค์ให้แก่เราทางศีลมหาสนิท และที่สุด ทรงยอมสละพระองค์จนหมดสิ้น (ตาย) ด้วยการยอมมอบชีวิตของพระองค์เป็นบูชาบนไม้กางเขน
ดังนั้นพระเยซูเจ้าทรงตายตั้งแต่เกิด และตลอดการดำเนินชีวิตของพระองค์ก็คือ การดำเนินในความตาย และพระองค์ทรงเรียกร้องทุกคนให้ดำเนินชีวิตในความตายเช่นเดียวกับพระองค์ ดังนั้นทรงเริ่มสอนด้วยบุญลาภ 8 ประการ โดย เริ่มด้วยบุญลาภประการแรก “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:3) ใจยากจน ใจไม่เกาะติด ใจพร้อมและสามารถทิ้งทุกอย่าง อีกทั้งยังทรงสอนเราให้ไม่แสวงหา และสะสมทรัพย์สิน ด้วยบทภาวนานี้ “โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้” เอา เฉพาะ ในวันนี้ ไม่ต้องคิดถึง วันหน้า
ดังนั้นนักบุญเปาโลจึงเรียกร้องให้ผู้ที่รับศีล ประกาศการสิ้นพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยการดำเนินชีวิตแต่ละวันอย่างมีใจยากจน ไม่ไขว่คว้า ไม่แสวงหา ไม่ดิ้นรน ไม่สะสม พูนพอกชีวิตของตนด้วยโภคทรัพย์ เกียรติยศ ศักดิ์ศรี และตำแหน่ง รวมทั้งความนิยมชมชอบจากคนทั่วไป แต่ถ้ารับศีลแล้วยังไม่ยอมทิ้งสิ่งต่างๆที่กล่าวไว้ข้างบน ผู้รับศีลผู้นั้นก็คือ ผู้โกหกหลอกลวงพระเยซูเจ้า หลอกลวงตัวเอง และหลอกลวงผู้อื่น