ซอย 40
อาทิตย์นี้สมโภชพระกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า แต่ขออนุญาตเล่าเรื่องแสวงบุญของสงฆ์เขต 1 ครับ เมื่อวันจันทร์-อังคาร-พุธที่ผ่านมานี้สงฆ์เขต1 เดินทางไปร่วมแสวงบุญศักดิ์สิทธิ์ที่เชียงใหม่งานนี้พ่อใหญ่(คุณพ่อสุรสิทธิ์ชุ่มศรีพันธุ์) อดีตเจ้าอาวาสอาสนวิหารอัสสัมชัญของเราถูกรับเชิญแกมบังคับจากคุณพ่อชาญชัยทิวไผ่งามหัวหน้าเขต1 ให้ทำหน้าที่ไกด์กิตติมศักดิ์นำคณะสงฆ์เขต1 ออกทัวร์แถบเชียงใหม่แสวงบุญตามประสาผู้ศักดิ์สิทธิ์เรียกว่าเข้าศูนย์โน้นออกวัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นบ้านมิตราทรสำหรับเด็กติดเชื้อHIV ,โรงเรียนเจ้าฟ้าอุบลรัตน์, ศูนย์พัฒนาบ้านเด็กพรสวรรค์, อารามเบเนดิกต์ตินและอีกหลายวัดชนิดที่ว่าผ่านวัดไหนไม่ได้เราเข้าหมดแต่จุดหมายที่สำคัญของเราคือ ต้องไปเยี่ยมศูนย์แม่ปอนซึ่งที่ศูนย์นี้เป็นศูนย์ที่พี่น้องสัตบุรุษวัดในเขต1 พร้อมใจกันให้ความช่วยเหลือค่าข้าวสาร มาเป็นประจำทุกปีมารอบนี้ ก็เพื่อมอบเงินให้พร้อมดูงานต่างๆ ของศูนย์และดูว่าทางศูนย์ต้องการความช่วยเหลืออะไรเพิ่มเติมโดยที่ศูนย์มี คุณพ่อสุธนคีรีวัฒนสกุลเป็นเจ้าอาวาสและคุณพ่อเกรียงศักดิ์ กิจสกุลวงศ์เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส เด็กๆในศูนย์กว่าสองร้อยคนจัดการแสดงต้อนรับคณะเราเป็นอย่างดีครับเลยเก็บภาพเด็กๆที่ศูนย์มาฝากกัน
ส่วนปีนี้ทางเขต1 ของเราก็คงต้องร่วมกันรณรงค์รับบริจาคเงินเพื่อช่วยศูนย์แม่ปอนนี้กันต่อไปครับจากแม่ปอนเราถึงมีโอกาสเดินทางไปเที่ยวน้ำตกและแวะขึ้นดอยอินทนนท์ ดูจุดที่สุดในประเทศไทย(เดี๋ยวจะหาว่ามาเชียงใหม่แล้วไม่ได้เที่ยวไปไหนเลย)แต่เรื่องที่อยากเล่าไม่ใช่เรื่องข้างบนนี้เลยครับเพราะการแสวงบุญรอบนี้คณะเราได้รับความประทับใจแบบมิรู้ลืมเป็นพิเศษในเที่ยงวันสุดท้ายก่อนกลับกรุงเทพฯ คณะเราแวะทานอาหารเที่ยงกันที่ร้านอาหารมีชื่อแห่งหนึ่งในเมืองเชียงใหม่ สั่งอาหาร สั่งน้ำมาพร้อมรับประทาน หลังจากทานอาหารกันเรียกว่าเกือบอิ่มหนำสำราญอยู่แล้วเชียวแต่เหตุเกิดจนได้ คือน้ำแก้วหนึ่งในบรรดาน้ำหลายแก้วที่สั่งมาทานคู่กับอาหารครับ เป็นน้ำส้มที่คุณพ่อท่านหนึ่งสั่งมา หลังจากทานไปครึ่งแก้ว เหลือน้ำส้มอีกครึ่งแก้วที่ทานยังไม่หมด ท่านก็นั่งทานอย่างอื่นต่ออย่างเอร็ดอร่อยสักพักบรรดาคุณพ่อที่นั่งฝั่งตรงข้ามพร้อมใจกันร้องออกมาว่า “เฮ้ย!!!!อึ่งอ่างในแก้ว”เท่านั้นแหละครับวงแตกพอทุกคนตั้งสติกันได้แล้วก็มาคุยกันว่าทำไมไม่มีใครเห็นเลยรึพ่อเจ้าของแก้วก็บอกว่าไม่เห็นเพราะน้ำแข็งบัง พวกคุณพ่อนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็บอกว่าเห็นแต่นึกว่าเป็นลูกบ๊วยหรือไม่ก็ลูกเสาวรสฝ่าครึ่งจนมาสังเกตว่ามันคืออึ่งอ่าง ก็ตอนที่มันพองตัวเต็มที่ แถมเหยียดขาออกมาอย่างในรูปละครับ งานนี้พอทางร้านทราบว่ามีอึ่งอ่างในแก้ว ก็ทำเพียงแค่เปลี่ยนน้ำแก้วใหม่ให้เท่านั้น (เค้าคงนึกว่าเป็นมุกที่มาหลอกทานฟรีรึเปล่าก็ไม่ทราบ)เห็นเก็บเงินครบ และที่สำคัญไม่มีคำขอโทษใดๆทั้งสิ้น…จบงานนี้เราก็ได้แต่ตั้งใจว่าร้านนี้เราคงไม่มาอีกแล้วส่วนคุณพ่อท่านนั้นก็ขอไม่ทานน้ำส้มไปอีกนาน และหลังจากมื้อนี้แล้วมื้อต่อไปไม่ต้องบอกกันทุกคนเป็นอันรู้กันพร้อมใจกันตรวจตราสิ่งที่อยู่ข้างหน้าก่อนจะเอาเข้าปากครับจึงอยากเอาเรื่องนี้มาเล่าเป็นอุทาหรณ์สอนใจครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ…วันนี้ขอจบเรื่องนอกซอยไว้เพียงเท่านี้…สวัสดีครับ…