สวัสดีครับสัปดาห์ละครั้ง
“รู้ตัว”มีความหมายได้หลายแง่มุม
ประการแรกหมายถึงรู้ตัวเองว่าตัวเองเป็นใครทำอะไรมีประวัติความเป็นมาอย่างไรรู้ว่าตัวเองมีข้อดีข้อด้อยอะไรรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรกล่าวคือจะบอกว่ามีสติคิดได้แยกแยะได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีอะไรผิดอะไรถูกเขาบอกกันว่าผู้ที่รู้ตัวเองดีๆจะสามารถดำเนินชีวิตของตนในโลกนี้ได้อย่างมีความสุขก่อให้เกิดความสุขทั้งต่อตนเองและผู้อื่นตัวอย่างเช่นเมื่อจอดรถที่บริเวณลานจอดรถจะหน้าวัดหรือที่ไหนก็ตามเขาจะดับเครื่องยนต์จอดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ก่อให้เกิดมลภาวะหรือทำความรำคาญให้ผู้อื่น… อย่างนี้คือรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ…
ในปัจจุบันนี้ถ้าเราสำรวจตรวจสังคมดูให้ดีๆจะพบว่ามีพวกที่ไม่รู้ตัวกันมากขึ้นทั้งๆที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้วมีความรู้มียศถาบรรดาศักดิ์มีหน้าตาโดดเด่นในสังคมหลงยึดติดในอำนาจในข้าวของเงินทองหรือชื่อเสียงเกียรติยศทำให้เกิดความโลภโกรธหลงหลายครั้งทำความเดือดร้อนให้ผู้คนรอบข้างเริ่มตั้งแต่ในครอบครัวในที่ทำงานในหมู่คณะในสังคม
คนประเภทนี้มักจะเอาแต่ใจตนเองยึดตนเองเป็นใหญ่ไม่ฟังใครทุกคนต้องเชื่อฟังฉันจึงขาดความเคารพในบุคคลอื่นมีคนคอยเอาใจยกย่องชมเชยซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ทั้งนั้น
คำว่า“รู้ตัว”ยังได้ยินกันบ่อยๆอันเกี่ยวกับชีวิตร่างกายเช่นเมื่อเห็นคนเป็นลมล้มพับไปเดี๋ยวก็จะมีคนถามว่า“รู้ตัวหรือยัง?”คือฟื้นหรือยังนั้นเองอย่างนี้มิได้มีความหมายอะไรซับซ้อนว่ากันไปตามสภาพร่างกาย
แต่ก็มีหลายครั้งเช่นกันที่คำถามนี้คือ“รู้ตัวหรือยัง?”ใช้สำหรับถามกันเมื่อเห็นคนหลงทำผิดพลาดไปความหมายก็คือเขารู้หรือไม่ว่าเขากำลังทำผิดซึ่งไม่เกี่ยวกับชีวิตทางร่างกายหรือการเป็นลมเป็นแล้งอะไร…
สิ่งที่ตามมาก็คือผู้ที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีหน้าที่ตักเตือน(สติ) กันให้รู้ตัวเช่นอาจจะเป็นพ่อแม่เตือนลูกๆของตน เพื่อนๆเตือนกันหรือหัวหน้าเตือนลูกน้องเป็นต้นหลายครั้งการเตือนก็ง่ายๆบางครั้งก็ยากจริงๆเพราะ“เขาไม่ฟัง”มิหนำซ้ำยังก่อให้เกิดความโมโหโกรธงอนหรือประชดประชันไม่ยอมพูดจาไปเลยก็มี
สิ่งที่ผมนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้เป็นเพียงสิ่งที่อยากจะแบ่งปันในแง่มุมของการดำเนินชีวิตประจำวันเพื่อทำให้ชีวิตมีความสุขมิได้พาดพิงถึงใครคนใดคนหนึ่งหรือถ้าจะพาดพิงก็คงจะพาดพิงถึงตนเองที่จะต้องเตือนตัวเองบ่อยๆให้“รู้ตัว”อยู่เสมอเท่านั้น…สวัสดีครับ