“ชีวิตเปี่ยมสุข” : ชีวิตที่อยู่อย่างง่ายๆ…เรียบง่าย มิใช่ยากสำหรับผู้อื่นหรือชีวิตมักง่าย
“ทันทีที่เห็นอับราฮัมก็วิ่งจากประตูกระโจมไปต้อนรับและกราบลงที่พื้นดิน”(ปฐก18:2)
คนเราทุกวันนี้เกิดก็ง่าย ตายก็ง่าย ยากอยู่อย่างเดียวสำหรับมนุษย์ในทุกวันนี้… นั่นก็คือ“อยู่ยาก”
เมื่อสามปีที่แล้วคือเฉพาะในปีพ.ศ. 2553 ปีเดียว ตามข้อมูลที่ได้จาก“กลุ่มภารกิจด้านข้อมูลข่าวสาร และสารสนเทศสุขภาพสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์” มีเด็กทารกเกิดใหม่ในประเทศไทยของเราถึงเจ็ดแสนกว่าชีวิต นี่ยังไม่นับบรรดาทารกที่ตกสำรวจ หากประมาณจำนวน รวมกันคงไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านทารกเป็นแน่… ยิ่งมาถึงวินาทีปัจจุบันนี้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่จำนวนเกิดอาจจะพุ่งไปถึงหนึ่งล้านห้าแสนชีวิตก็อาจเป็นได้ คนเราทุกวันนี้พูดถึงการเกิดเกิดกันง่ายจริงๆ
การตายก็ไม่ใช่เป็นเรื่องน้อยหน้า จากสถิติของ“สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ” ระบุไว้ว่าประเทศไทยเป็นประเทศลำดับที่6 ของโลกที่มียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ มียอดผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุประมาณ2,000 คนต่อเดือน ก็เข้าใจได้ว่ามีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุปีละไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน หากรวมการเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ, การใช้ความรุนแรงหรือจะเรื่องอื่นๆอีก ก็คงไม่พ้นสองถึงสามแสนคนเป็นแน่และแน่นอนเมื่อพูดถึงการตายคนเราก็ตายกันได้ง่ายๆจริงๆ
“โปรดอย่าผ่านผู้รับใช้ของท่านไปเลยข้าพเจ้าจะให้เขาเอาน้ำมาล้างเท้าให้ท่านเชิญท่านพักใต้ต้นไม้นี้เถิด” (ปฐก18:3-4)
แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องยากยากจริงๆ สำหรับเรามนุษย์ในทุกวันนี้ นั่นก็คือ… “ยากที่จะอยู่” “การมีชีวิตอยู่…มั่นช่างยากเหลือเกิน” คนเรามักจะพูดกันเช่นนี้มิใช่หรือ?
เป็นที่น่าสงสัย ในโลกใบนี้มีแต่เรื่องยากๆวุ่นๆวุ่นวายกันนักหนาใช่หรือไม่ เราจึงอยู่กับโลกใบนี้ได้ยากอย่างที่พูดๆกัน ทั้งๆที่โลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกสบาย จนนับวันก็ยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณกันขนาดนี้
ตกลงการที่เรา“อยู่ยาก” เป็นเพราะโลกใบนี้ เป็นเพราะคนอื่นๆที่ร่วมอาศัยในโลกใบเดียวกัน หรือเป็นเพราะ “ตัวเราที่ไม่ยอมอยู่อย่างง่ายๆ ตัวเราทำตัวให้ดูยากๆเข้าไว้…” บางคนอาจสุดโต่ง “ทำตัวเองเป็นคนมักง่าย” อันนี้ก็ไม่ไหวกลับกลายเป็นภาระหนักสำหรับเพื่อนพี่น้อง “แต่คนส่วนหนึ่งก็ทำตัวยาก…ยากที่จะยอมรับผู้อื่น” ตกลงแล้ว“อยู่อย่างง่ายๆ ทำตัวให้ง่าย” เป็นเช่นไรหนอ???
“มารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้าคอยฟังพระวาจาของพระองค์” (ลก10:39)
ภาพของมารีย์ น่าจะเป็น“ภาพที่ชัดเจนของผู้ที่ทำตัวเองให้เป็นคนอยู่อย่างง่ายๆ” เธอนั่งลงไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเป็นท่าทางที่สบายผ่อนคลาย เธอไม่ได้นั่งเฉยๆทิ้งเวลาและผลาญลมหายใจไปวันๆ ตรงกันข้าม เธอนั่งฟังเสียงฟังพระวาจาของพระเยซูเจ้า
เธอจึงรู้ว่าพระบอกและสอนเธอถึงน้ำพระทัยของพระองค์ เธอรับรู้และวางใจในพระองค์ และที่สุดเธอจึงพบขุมทรัพย์อันล้ำค่าสำหรับตัวเธอ และสำหรับเพื่อนพี่น้องของเธอ ขุมทรัพย์ที่พระองค์เรียกร้องให้เธอแบ่งปันมอบให้กับทุกคนที่ได้พบปะกับชีวิตของเธอนั่นเอง
“เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนักสิ่งที่จำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว…ฟังเสียงของพระเยซูเจ้าและวางใจในพระองค์”(เทียบลก10:41-42)
ชีวิตของเราจะ“มีความสุขอยู่ง่ายอยู่อย่างง่ายๆเรียบง่ายได้” หากเราปล่อยวางเรื่องอื่นๆ นั่งลงแทบพระบาทพระเยซูเจ้า ฟังพระวาจาและวางใจวางชีวิตของเราไว้ในอ้อมพระหัตถ์พระองค์… ที่สุดออกไปนอกวัดนอกบ้าน และทำชีวิตของเราให้ง่ายและเรียบง่ายสำหรับเพื่อนพี่น้องสร้างและมอบรอยยิ้มให้กับทุกคน นั่นและทุกคนจะพบพระเมตตารักของพระจากชีวิตที่ง่ายและเรียบง่ายของเรา.