“ความฝัน… กระแสเรียก… และสันติสุขจากพระเจ้า”
“จงเคาะเถิดแล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน…จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ” (เทียบลก11:9)
“ความฝัน….” คนเราวาดหวังวาดฝัน… และเราก็ติดตามความฝัน วันสุดท้ายความฝันที่เราติดตามเป็นจริง ช่างเป็นชีวิตที่สุดยอด ใครก็ตามที่ได้รับเช่นนี้สมควรเหลือเกินที่จะกระโดดให้สูงสุดให้สุดแรงเกิดกันเลย และอย่าลืมที่จะขอบคุณพระนะครับ
“กระแสเรียก….” คนอีกส่วนหนึ่ง มีความฝัน… พยายามเดินตามและหาฝันนั้นให้พบเจอให้เป็นจริง แต่ก็ยังต้องตามกันต่อไป บางคนพบว่า“ความฝัน” กับ“ความจริงในชีวิต” ไม่จำเป็นต้องมาบรรจบพบกัน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ “กระแสเรียก…” ของตน ที่ตนยิ่งวันยิ่งพบ ยิ่งวันยิ่งชัดมากขึ้นๆ ว่าพระเป็นเจ้าเรียกเราไปทางใด เพื่ออะไร และเราเป็นใครในสายพระเนตรของพระองค์
“จงเคาะเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน…จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ” (เทียบลก11:9)
ระหว่างถ่ายภาพร่วมกันกับบรรดาสังฆานุกรผู้ช่วยพิธีกรรมผู้อ่านพระคัมภีร์ของสังฆมณฑลกรุงเทพฯ พ่อได้มีโอกาสแอบกระซิบถามไป และได้คำตอบกลับจากสังฆานุกรท่านหนึ่ง “บราเดอร์สุปิติ รวมอร่าม” (รุ่นน้องที่เคยอยู่ในบ้านเณรร่วมกัน แต่ภายหลังมาเปลี่ยนเส้นทางในกระแสเรียกในคณะภราดาน้อยกาปูชิน)
เสียงตอบกลับประมาณว่า แต่เดิมเมื่อครั้งยังเด็ก ว่าที่พระสงฆ์ท่านนี้ก็ประทับใจและมีความใฝ่ฝันต้องการติดตามกระแสเรียกของตนในการรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ ดังเช่นเด็กผู้ชายในหมู่บ้านทั่วๆไป แต่ทำอย่างไรได้ เมื่อชีวิตเดินทางก้าวหน้ามากขึ้นไปเรื่อยๆ วันหนึ่งเขาก็พบกับกระแสเรียกที่ชัดเจนมากขึ้น นั่นคือ ขอลาออกจากบ้านเณรแสงธรรมเมื่อตนเองอยู่ชั้นปีที่6 อีกสองปีก็จะได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ตามที่ตนเองรักและหวังไว้ เมื่อยังเป็นเด็ก และสมัครเข้าเป็นสมาชิกในคณะบราเดอร์คณะภราดาน้อยกาปูชิน
“พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิฐานภาวนา…”(ลก11:1)
ทุกอย่างถูกถอดถอนใหม่ ทุกอย่างถูกเริ่มต้นใหม่ แต่“กระแสเรียก” เสียงเรียกที่พระมีต่อเขากลับชัดเจนมากขึ้น มากขึ้นจนถึงวันที่ตัดสินใจรับการบวชเป็นสังฆานุกรและจะรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ในวันข้างหน้า… แม้จะรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว พระเป็นเจ้าก็จะประทานกระแสเรียกที่ชัดเจนขึ้นให้กับเราต่อไปอีก
ชีวิตของบราเดอร์สังฆานุกรสุปิติ รวมอร่าม สอนเราครับพี่น้อง สอนเราว่า เวลาจะยาวนานสักเพียงใดในการอดทนรอคอยก็ไม่สำคัญ ความฝันที่เรายึดและเลือกกันก็ไม่สำคัญ ความสุขสันต์ที่ผู้คนเขาว่าเขาปรารถนากันก็ไม่สำคัญ
สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ตรงที่เรา “ฟังเสียงของพระให้ดีๆ” เมื่อเราหยุด. นิ่ง. และฟังพระวาจา. เราจะพบกระแสเรียกของตัวเราเอง เราจะได้ยินเสียงเรียกจากพระองค์ และสันติสุขก็เกิดขึ้นหากแม้มันยังไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา หากแม้สันติสุขนี้เราเคยพบเคยมีและหายไป สันติสุขนั้นก็จะกลับมาหาเรา ที่สำคัญเราจง….
“หยุด…นิ่ง และฟังพระวาจา” และเราจะพบ“สันติสุข” ของพระองค์ เราพบชีวิตเราพบกระแสเรียกของตน… มิใช่แค่ตามหาฝันไปวันๆ.