ความเข้าใจแบบเพี้ยนๆเรื่องการภาวนา
“….จำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย” ประโยคนี้น่าจะเป็นประโยคสำคัญสำหรับการพินิจรำพึงของเราในวันนี้
“จำเป็นต้องอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย” ด้วยประโยคดังกล่าวหลายคนก็ใช้เวลาหลายๆชั่วโมงในวัด และ “ท่องบ่น” บทสวดที่จำได้ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนนกแก้ว และเป็นต้นคำภาวนาเหล่านั้นมีจุดประสงค์มุ่งเพียงอย่างเดียวคือ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
การภาวนาจริงๆแล้ว เป็นอะไร? และการอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย จริงๆแล้วคืออะไร?
ความหมายแท้ๆของการภาวนาก็คือ กระบวนการเชื่อมต่อจิตวิญญาณของเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของพระเจ้า
การภาวนาคือการทำให้ จิตวิญญาณ 2 ดวง เกิดการสัมผัสประสานจนเป็นหนึ่งเดียวกัน พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ การภาวนาเปรียบเหมือนการนำสายไฟของพัดลมเสียบเข้ากับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าซึ่งได้แก่ ปลั๊กไฟ เพื่อรับพลังงานจากแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ทำให้พัดลมหมุนไปมาให้ความเย็นได้
การภาวนาจึงเป็นกระบวนการทางจิตล้วนๆ โดยไม่เกี่ยวข้องกับ เสียงที่ออกมาจากลำคอแม้แต่น้อย เสียงจากลำคอ อาจจะเข้ามามีบทบาทในการสวดภาวนาบ้าง แต่มีความสำคัญเพียงแค่น้อยนิดเดียว หัวใจของการภาวนา คือ การเชื่อมต่อของจิตวิญญาณ 2 ดวง ให้แนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกัน
ประการที่ 2 ที่สำคัญ และต้องทำความเข้าใจให้ได้ก็คือ จิตวิญญาณทั้ง 2 ดวงนั้นได้แก่จิตวิญญาณของตัวเราเอง และจิตวิญญาณของพระเป็นเจ้า ซึ่งจิตวิญญาณของพระเป็นเจ้าก็ไม่ใช่จิตวิญญาณที่อยู่ภายนอกตัวเรา หรือ อยู่ที่ใดที่หนึ่งที่สูงๆแต่ จิตวิญญาณของพระเจ้าเป็นจิตวิญญาณที่สถิตประทับอยู่ในชีวิตของเรา
สำหรับเราพระเป็นเจ้าไม่ใช่เอเลี่ยน (Alien) หรือ มนุษย์ต่างดาว ที่อยู่นอกตัวเราพระองค์ประทับอยู่ในชีวิตและในตัวเรา ดังนั้นการคุกเข่าหรือนั่งพนมมือ แต้ ตามองดูท้องฟ้า จึงเป็นภาพที่น่าขำเป็นอย่างยิ่ง
พระเป็นเจ้าประทับอยู่ในตัวเราจึงไม่จำเป็นต้องไปเสาะแสวงหาพระองค์จากที่อื่น หรือ ต้องเฉพาะเจาะจงในวัด พระองค์อยู่ในเราและในทุกที่ในจักรวาล เพียงแต่เราต้องพยายามเชื่อมโยงจิตวิญญาณของเราให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของพระเป็นเจ้าให้ได้
เชื่อมจิต 2 จิตให้เป็นหนึ่งเดียวทำไม? ก็เพื่อให้จิตทั้ง 2 ประสานสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่จิตทั้ง 2 ยังไม่ประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน การภาวนาก็ไม่เกิดผล
เราจะเห็นความหมายในการประสานสัมพันธ์จิต 2 จิตเข้าด้วยกัน ในการภาวนาของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนี ในมัทธิว บทที่ 26 ข้อ 36 ถึง 46 ซึ่งเป็นตัวอย่างของ การอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ โดยไม่ย่อท้อ จนในที่สุดทั้ง 2 จิตรวมหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างลงตัว
ในสวนเกทเสมนีนั้น พระเยซูทรงลุกเข้าออกถึง 3 ครั้ง และทรงสวดภาวนาด้วยคำพูดเดียวกัน ถึง 3 ครั้ง “พระบิดาเจ้าข้า ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้พ้นข้าพเจ้าไปเถิด ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ขออย่าให้เป็นไปตามใจข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์เถิด” เป็นการพยายามรวมจิตของพระองค์ กับจิตของพระบิดาให้เป็นหนึ่งเดียว เพราะในขณะนั้นจิตของพระเยซูเจ้าในส่วนที่เป็นมนุษย์ กำลังขัดสู้และต่อสู้กับจิตของพระบิดาอย่างรุนแรง ในลักษณะที่ไม่อยากน้อมรับสิ่งที่พระบิดาทรงกำหนด ดังนั้นจึงมีประโยค 2 ประโยคเกิดขึ้นในบทภาวนานั้นคือ “ถ้าเป็นไปได้ และถ้าเป็นไปไม่ได้” สุดท้าย การขัดสู้นั้นก็จบลงด้วยการที่ พระเยซูเจ้าตัดใจ (†) ยอมต่อพระบิดา และนี่คือสัมฤทธิ์ผลของการภาวนา จิตของมนุษย์ยอมต่อจิตของพระเจ้า
ดังนั้น การอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอโดยไม่ท้อถอย จึงไม่ได้แปลว่าสวดเพื่อให้พระเป็นเจ้าฟังเรา แต่ต้องสวดเพื่อให้เรารู้จักฟังและยอมพระเป็นเจ้า พระเยซูทรงยอมต่อพระบิดา และ แผนงานไถ่กู้ก็จึงสามารถเดินหน้าต่อไปได้ การสวดภาวนาก็คือ กระบวนการฟังพระเป็นเจ้าและยอมปฏิบัติตามสิ่งที่พระเป็นเจ้าต้องการ ไม่ใช่ให้พระฟังเราและให้พระยอมตามที่เราต้องการ