อย่าติดสินบนพระ
บทอ่านที่ 1 จากหนังสือบุตรสิราในวันนี้ เป็นบทที่ 35 ข้อ 12-14 และข้อ 16-18
ได้เปิดดูพระคัมภีร์ในหนังสือบุตรสิรา บทที่ 35 ก็เห็นว่าถูกแบ่งไว้เป็นตอนๆ เพื่ออธิบายเรื่องต่างๆ บุตรสิราบทที่ 35 จะเริ่มด้วยตอนที่ 1 ข้อ 1 ถึง 10 อธิบายถึงธรรมบัญญัติและการถวายเครื่องบูชา จากนั้นก็จะถึงตอนถัดไปคือ ข้อ 11 ถึง 24 พูดถึง ความยุติธรรมของพระเจ้า
สำหรับตอนที่ 2 เรื่อง ความยุติธรรมของพระเจ้า ถูกนำมาใช้เป็นบทอ่านในมิสซาวันนี้ กลับเริ่มต้นข้อความด้วย ข้อ12 ถึง 14 และ ข้อ 16-18 โดยข้อที่ 11 ถูกตัดออกไป จะเป็นด้วยความจงใจหรือไม่ตั้งใจ ก็สุดจะเดาได้
ข้อ 11 ที่ขาดหายไป น่าจะเติมเต็มความหมายที่อยู่ในพระวรสารของวันนี้เสียด้วยซ้ำไป
จึงขอยกข้อ 11 มาให้เราได้อ่าน ซึ่งมีข้อความดังนี้
“อย่าไปติดสินบนพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงรับดอก อย่าหวังพึ่งเครื่องบูชาอันไม่ชอบธรรม” จากนั้นจึงจะต่อด้วยข้อ 12 “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา พระองค์ไม่ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง ฯลฯ”
อะไรคือ การติดสินบนพระเจ้า? ที่กล่าวไว้ในข้อ 11 การติดสินบนพระเจ้า เราเห็นได้จากคำภาวนาของฟาริสีในบทพระวรสาร “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ข้าพเจ้าไม่เป็นเหมือนมนุษย์คนอื่นที่เป็นขโมย อยุติธรรม ล่วงประเวณี หรือ เหมือนกับคนเก็บภาษีคนนี้ ข้าพเจ้าจำศีลอดอาหารสัปดาห์ละสองวันและถวายหนึ่งในสิบของรายได้ทั้งหมดของข้าพเจ้า”
คำพูดทั้งหมดของฟาริสีอวดตัวและอวดอ้างว่าตนได้ทำอะไรบ้างในชีวิตที่เป็นสิ่งดีๆ รวมทั้งการถวายเงิน หรือ พยายามถวายเงิน หนึ่งในสิบของรายได้ของตัวเอง ทั้งหลายทั้งปวงที่สาธยายมาทั้งหมดคือ การติดสินบนพระเจ้า ทำความดีเพื่ออวดพระ ทำความดีเพื่อจะได้เอาความดีที่ตนทำนั้น นำมาเป็นเหตุเพื่อเรียกร้องสิ่งต่างๆจากพระเจ้า พูดสั้นๆคือ ทำความดีเพื่อให้พระตอบแทนความดีของตนเอง
ความดีทั้งหมดที่ฟาริสีสาธยายมาทั้งหมดกลายเป็น เครื่องบูชาอันไม่ชอบธรรม เพราะเป็นสิ่งที่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน
ในการทำความดี เราจะต้องตั้งเจตนาให้ตรง คือ ทำความดี เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ ทำความดีเพราะเป็นพระประสงค์ของพระเป็นเจ้าที่จะให้เราทำความดี ไม่ใช่ทำความดีเพื่อจะได้รับรางวัลสวรรค์เป็นสิ่งตอบแทน หรือทำความดีเพื่อให้ได้รับคำชมยกย่องสรรเสริญ สำหรับการจะได้รางวัลหรือไม่ได้รางวัลนั้น เป็นเรื่องของพระที่จะตัดสิน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา หรือเป็นตุลาการ พระองค์ทรงรู้ทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่ซ่อนเร้นที่สุดในเบื้องลึกของหัวใจของเรา
พระเยซูเจ้าเองทรงเตือนเราในเรื่องนี้ในพระวรสารของวันอาทิตย์ที่ยี่สิบเจ็ดที่ผ่านมา เมื่อพระองค์ทรงเล่านิทานเปรียบเทียบเรื่องคนใช้ที่นายใช้ให้ออกไปไถนา เมื่อคนใช้กลับมาจากทุ่งนาแล้ว นายไม่ได้เรียกเขาให้มารับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับนาย แต่นายจะสั่งให้จัดโต๊ะและคอยรับใช้นาย ขณะที่นายรับประทานอาหาร
และพระเยซูก็สรุปลงท้ายเรื่องนี้ว่า “ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันเมื่อท่านได้ทำตามคำสั่งทุกประการแล้ว จงพูดกับตัวเองว่า ‘ฉันเป็นเพียงผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์เพราะฉันทำตามหน้าที่ที่ต้องทำเท่านั้น’”
ดังนั้นอย่าหวังอะไรมากนักจากความดีที่เรากระทำ อย่ามุ่งทำความดีเพื่อหวังรางวัล แต่ต้องทำความดีเพราะเป็นพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า ที่เหลือก็มอบฝากทุกอย่างไว้ในการพิจารณาตัดสินของพระเป็นเจ้า โดยหวังเพียงพระเมตตาของพระองค์