“หัวใจเปี่ยมหวัง…ในท้องฟ้ามืดมิดสถานการณ์มืดมน”
“ถิ่นทุรกันดารและแผ่นดินแห้งแล้งจงยินดีเถิด เพราะทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำให้มือที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้นจงทำให้หัวเข่าที่ซวนเซมีความมั่นคงจงกล่าวกับคนที่ท้อแท้ว่า…จงมานะเถิดอย่ากลัวเลย… ดูซิพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมาเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะแลเห็นหูของคนหูหนวกจะได้ยินคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวางและคนใบ้จะตะโกนด้วยความยินดี” (อสย. 3:11-6)
ท้องฟ้าบ้านเราดูปลอดโปร่งโล่งสดใสอากาศดูเย็นพอให้รู้สึกชื่นใจดังทานไอศครีมหอมหวานชื่นใจเหลือเกินภาวนาขอพระประทานอากาศที่เย็นอ่อนๆชื่นใจนี้ให้อยู่กับเรานานๆหน่อยครับเป็นต้นอยู่กับพี่น้องที่ดำรงชีวิตในเมืองหลวงอย่างพวกเรา
ท้องฟ้าที่เป็นใจปลอดโปร่งโล่งสดใส ช่างตรงกันข้ามกับภายในหัวใจของเราพี่น้องชาวไทยเสียใกล้ห่างลิบลับ กับสภาพขมุกขมัวไม่ชัดเจนไม่ออกหัวหรือก้อย ชวนเราทุกคนให้อึดอัดหัวใจ เกิดคำถามมาไปให้ชวนปวดหัวปวดใจ“พ่อมันจะจบจะลงเอยอย่างไรครับ… พ่อบ้านเราเมืองเราจะกลับมาสงบสุขเมื่อไรค๊ะ…” ยากจริงๆครับพี่น้อง ยากยิ่งนักที่เราจะพานพบคำตอบนี้… แต่“จงทำให้มือที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้น”ด้วยความหวังอย่างที่ประกาศกอิสยาห์ได้ให้กำลังใจเราจงภาวนาและมีหวังในพระเจ้า
“ถิ่นทุรกันดารและแผ่นดินแห้งแล้งจงยินดีเถิดเพราะทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจงทำให้มือที่อ่อนแอแข็งแรงขึ้นจงทำให้หัวเข่าที่ซวนเซมีความมั่นคงจงกล่าวกับคนที่ท้อแท้ว่า…จงมานะเถิดอย่ากลัวเลย… ดูซิพระเจ้าของท่านทั้งหลายจะเสด็จมาเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น แล้วนัยน์ตาของคนตาบอดจะแลเห็นหูของคนหูหนวกจะได้ยินคนง่อยจะกระโดดได้อย่างกวางและคนใบ้จะตะโกนด้วยความยินดี” (อสย. 3:11-6)
ภาพบ้านเราเมืองเราดูเหมือนมืดมนและตันหนทางดูแล้วสภาพก็คงใกล้เคียงกับความหมดหวังในพี่น้องชาวอิสราเอลยามที่บ้านแตกครอบครัวแยกกระเด็นกระจายไม่รู้จะไปทางใดต่อดีไม่รู้ว่าความเจ็บปวดความสิ้นหวังจะเดินไปทางใดสิ้นสุดเมื่อใดอย่างไร
ที่สุดในสมัยนั้นผู้คนยังไม่ได้คำตอบจากพระ แต่พระองค์ทรงส่งประกาศกอิสยาห์มาเพื่อแจ้งสารของพระองค์เป็นข่าวดีที่พระองค์จะทรงส่งพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อมอบความหวังรักษากำลังใจของพวกเขาต่อไป นอกจากนี้ผ่านทางคำของประกาศกพระองค์ยังเรียกร้องให้พี่ช่วยน้องเพื่อนดูแลเพื่อนให้เป็นผู้ดูแลและหล่อเลี้ยงกำลังใจให้กันและกันเป็นต้นรักษาความหวังความเชื่อที่มีต่อพระองค์ไว้
“จงไปบอก…ถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็นคนตาบอดกลับแลเห็นคนง่อยเดินได้คนโรคเรื้อนหายจากโรคคนหูหนวกได้ยินคนตายกลับคืนชีพคนยากจนได้รับการประกาศข่าวดี ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข”(มธ. 11:4-6)
แม้ฟ้าจะสดใสทั้งๆที่ดวงใจของเรายังหม่นหมองแทบสิ้นหวังกับความมืดมนในอาการสูญญากาศหาทางออกกันไม่พบเจอ เช่นเดียวกับที่ประกาศกอิสยาห์ได้พูดแทนพระเป็นเจ้า ให้เรามีความหวังในพระองค์เชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงดูแล และที่สำคัญเราแต่ละคนถูกเรียกให้ร่วมงานกับพระองค์
พระองค์เรียกเราให้เป็นมือเป็นเครื่องมือของพระองค์ที่จะดูแลกันและกันพยุงหล่อเลี้ยงกำลังใจและความเชื่อความหวังในพระองค์ให้ยืนอยู่ได้ท่ามกลางมรสุมความมืดมนนี้จนกว่ามันจะกระจายพ่ายและพ้นจากชีวิตจากครอบครัวจากบ้านเมืองของเรา
แม้เราทุกคนจะอยู่ท่ามกลางความมืดมน แต่ท่ามกลางความมืดมนนี้เราแต่ละคนยังมีพระพรของพระในรูปแบบต่างๆในชีวิตเราแต่ละคนเรายังมีประกายไฟยังมีไม้ขีดยังมีไฟแช็คยังมีเทียนและอีกหลายหลาก สละเถิดครับดึงออกมาสิ และนำมาแบ่งปันกันและกันรวบรวมเป็นความรักที่มอบให้แก่กันและกัน และเราจะเห็นดังที่พระเยซูเจ้าและประกาศกอิสยาห์ได้บอกพ้องกันว่า…
“จงไปบอก…ถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น คนตาบอดกลับแลเห็นคนง่อยเดินได้คนโรคเรื้อนหายจากโรคคนหูหนวกได้ยินคนตายกลับคืนชีพคนยากจนได้รับการประกาศข่าวดี ผู้ที่ไม่แคลงใจในเราย่อมเป็นสุข”(มธ. 11:4-6)