ศีลล้างบาป-ความตาย-การกลับคืนชีพ
พระเยซูเจ้าทรงเข้ารับพิธีล้างจากยอห์น เมื่อถึงเวลากำหนด พิธีล้างของยอห์นคือรูปแบบของศีลล้างบาปในอนาคตที่พระเยซูเจ้าจะทรงตั้งขึ้น เพื่อเป็น “ประตูแห่งความรอดพ้น” ที่พระองค์เชิญชวนให้มนุษย์ทุกคนเข้าไป
ยอห์นทำพิธีล้างที่แม่น้ำจอร์แดน ทุกคนที่เข้าพิธีล้าง จะต้องเดินลงไปในแม่น้ำไปหายอห์น จากนั้นยอห์นก็จะกดศีรษะของผู้เข้าพิธีลงไปใต้น้ำสักครู่หนึ่ง จากนั้นผู้เข้าพิธีก็จะยกศีรษะโผล่พ้นน้ำขึ้นมา
พิธีล้างของยอห์นคือสัญลักษณ์ของการกลับใจ
พิธีศีลล้างบาปในยุคต้นๆของพระศาสนจักรได้รักษารูปแบบของพิธีล้างของยอห์นเอาไว้ แต่ให้ความหมายใหม่
ศีรษะที่ถูกกดลงใต้น้ำหมายถึง ความตาย
ศีรษะที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง หมายถึง การกลับคืนชีพ
ศีลล้างบาปให้ชีวิตพระแก่เรา หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ ศีลล้างบาปทำให้เรามีชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้าในตัวของเรา เปาโลกล่าวอย่างชัดเจนว่า
“ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รับศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้นเราถูกฝังไว้ในความตายพร้อมกับพระองค์อาศัยศีลล้างบาป เพื่อว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำเนินชีวิตแบบใหม่ด้วยฉันนั้น” (โรม บทที่ 6 ข้อ 3 ถึง 4)
นั่นคือความหมายแท้ๆของศีลล้างบาป เราต้องตายพร้อมกับพระคริสตเจ้า และเราต้องกลับคืนชีพพร้อมกับพระองค์
แต่ความตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าของเราและการกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าของเราต้องเป็นความตายและการกลับคืนชีพในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ และดังที่เขียนไว้ในบทสนทนาเจ้าอาวาสสัปดาห์ที่แล้ว ที่ได้อ้างอิงถึงจดหมายนักบุญเปาโลถึงคริสตชนชาวเอเฟซัสที่มีใจความว่า
“ท่านจงถอดสภาพมนุษย์เก่า เลิกประพฤติเลวทรามตามราคะตัณหาที่หลอกให้หลงไป จงมีจิตใจ และความรู้สึกนึกคิดอย่างใหม่ จงสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ซึ่งพระเจ้าทรงเนรมิตให้เหมือนพระองค์ มีความชอบธรรม และความศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากความจริง” (เอเฟซัส 4:22-24)
การถอดสภาพมนุษย์เก่า= ตาย (ขณะที่ยังไม่ตาย)
สวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ =คืนชีพ (ขณะที่ยังไม่ตาย)
เรื่องของการตาย ขณะที่ยังไม่ตาย หรือ กระบวนการถอดสภาพมนุษย์เก่า อยากจะอ้างอิงถึงพระนิพนธ์ของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ที่ทรงพระนิพนธ์ไว้ในหนังสือ “ทุกชีวิตมีเวลาอันจำกัด” หัวข้อที่ 4 ของพระนิพนธ์เรื่อง “การปลดปล่อยใจจากสิ่งทั้งหลายก่อนถูกความตายบังคับ” คือการที่บุคคลจะต้อง “กำจัดกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ตัณหาความดิ้นรน และทะเยอทะยานอยาก อุปทานความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายทั้งปวง หัดใจให้ปล่อยเสียพร้อมกับหัดตาย สิ่งอันเป็นเหตุให้โลภ ให้โกรธ ให้หลง ให้เกิดตัณหา อุปทาน หัดละเสีย ปล่อยเสีย พร้อมกับหัดตาย ซึ่งจะมาถึงเราทุกคนเข้าจริงได้ในทุกวินาที”
การกำจัดสิ่งต่างๆออกจากชีวิตก็คือ การตัดใจจากสิ่งต่างๆที่รุมเร้าชีวิตและทำให้เราออกห่างจากพระ และ เมื่อใจถูกตัด นั่นก็หมายถึงความตาย นอกนั้นเรายังต้องตัดสิ่งอื่นๆ อีกออกจากชีวิตเช่นความมักมากในเรื่องความร่ำรวย การไขว่คว้าเกียรติยศชื่อเสียง การชอบใช้ชีวิตที่สะดวกสบาย หรูหราฟู่ฟ่าฯลฯ
ได้เคยพูดถึงเรื่องการตัดใจ มาแล้วเวลาที่พูดถึงไม้กางเขน ไม้กางเขนคือวิถีแห่งการตัดใจของคริสตชน ไม้กางเขนคือวิถีชีวิตคริสตชน
ส่วนการสวมใส่สภาพมนุษย์ใหม่ ก็คือ การปฏิบัติคุณธรรม ตามที่พระเยซูเจ้าได้ทรงสอน นั่นคือ ความรัก ซึ่งความรักก็ไม่ได้หมายความถึง ความชอบหรือไม่ชอบ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ คนใดคนหนึ่ง นักบุญเปาโลได้นำเอาความรักที่พระเยซูสอนมาชำแหละให้เราได้ดูเป็นองค์ประกอบของความรัก ในจดหมายถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่ 1 บทที่ 13 ข้อ 4 ถึง 7
ความรัก
1. ย่อมอดทน
2. มีใจเอื้อเฟื้อ
3. ไม่อิจฉา
4. ไม่อวดตัว
5. ไม่จองหอง
6. ไม่หยาบคาย
7. ไม่เห็นแก่ตัว
8. ไม่ฉุนเฉียว
9. ไม่จดจำความผิด
10. ไม่ยินดีในความชั่ว
11. ร่วมยินดีในความถูกต้อง
12. ให้อภัย
13. เชื่อมั่น
14. มีความหวัง
15. อดทน
ฯลฯ (ดู 1โครินทร์ 13:4-7)
ต้องทำให้ได้ครบ 15 ข้อ ถึงจะเรียกได้ว่ามีความรักที่สมบูรณ์ ใครๆที่อวดอ้างว่าตัวเองดำเนินชีวิตในความรัก ให้เราลองตรวจสอบพวกเขาดูว่า เขาเหล่านั้นมีคุณสมบัติทั้ง 15 ข้อไหม และถ้าในชีวิตของเราหรือเขามีทั้ง 15 ข้อนี้ เราพูดได้เต็มปากได้เลยว่า เรามีความรักที่เต็มเปี่ยม
ส่วน ฯลฯ ก็ได้แก่คุณธรรมอื่นๆอีกที่พระเยซูเจ้าสอน เช่น ความยากจน ความบริสุทธิ์ การรักความยุติธรรมและความชอบธรรม ความเมตตา การรู้จักดำเนินชีวิตอย่างสันติกับผู้อื่น ฯลฯทั้งหลายทั้งปวงข้างบนก็คือการทำให้ชีวิตของเรากลับคืนชีพขณะยังไม่ตาย
สุดท้ายขอเน้นว่าเราต้องตายและคืนชีพให้สำเร็จก่อนตาย ไม่มิฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงการกลับคืนชีพหลังความตาย