หนทางสู่ความศักดิ์สิทธิ์
“พวกท่านจงเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์เพราะเราองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์” (เลวีนิติ 19:2)
“พวกท่านไม่รู้หรือว่าพวกท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า” (1 โครินทร์ 3:16)
2 ข้อความจากบทอ่านที่ 1 และ 2 วันนี้เพียงพอที่จะยกมาเป็นเงื่อนไขบังคับว่า “เราต้องเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อต้องเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ คำถามจึงเกิดขึ้นต่อมาว่า ทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์?
ความศักดิ์สิทธิ์จะบรรลุถึงได้ มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น หรือ มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น และผู้ชี้แนะหนทางนี้ก็มีเพียงคนเดียว และผู้นั้นก็คือ ผู้ที่พูดประโยคนี้ “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” (ยอห์น 14:6)
ไปเฝ้าพระบิดาไม่ได้แปลว่าไปอยู่ต่อหน้าต่อตาพระบิดา แต่ไปเฝ้าพระบิดา แปลว่า เข้าถึงองค์พระบิดา หรือ มีชีวิตร่วมเป็นหนึ่งดียวกับพระบิดา
ผู้ใดที่เข้าถึงพระบิดาและมีชีวิตร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา ผู้นั้นจึงกลายเป็น ผู้ศักดิ์สิทธิ์
แต่เนื่องจากพระบิดาและพระเยซูคริสตเจ้ามีชีวิตสนิทแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแยกไม่ออก “เราดำรงอยู่ในพระบิดา และพระบิดาก็ดำรงอยู่ในเรา” (ยอห์น 14:10 และ 11) ดังนั้นการจะเข้าถึงพระบิดา และกลายเป็นผู้มีชีวิตที่ศักดิ์สิทธิ์ เราก็จะต้องเดินในเส้นทางชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต” (ยอห์น 14:6)
เดินในเส้นทางชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า ก็คือ พระเยซูเจ้ามีชีวิตอย่างไรเราก็ต้องมีชีวิตเหมือนกับพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าคิดอะไร เราก็ต้องคิดเหมือนพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทำอะไร เราก็ต้องทำเหมือนพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าพูดอะไร เราก็ต้องพูดเหมือนพระเยซูเจ้า
ชีวิตทั้งชีวิตของเราต้องฉายแสงชีวิตของพระเยซูเจ้า
เราจะต้องดำเนินชีวิตแต่ละวัน “โดยมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง” (แผนอภิบาลอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ค.ศ. 2011-2015 ข้อ 9) และในหนังสือ “ชุมชนคริสตชนเล็กๆ : แบบอย่างของการมีส่วนร่วมในพระศาสนจักร”หน้า 242 ข้อ 3.5.14 ได้เน้นบทบาทของ “พระวาจาของพระเจ้า” โดยได้กล่าวถึงการหล่อเลี้ยงชีวิตคริสตชนด้วยพระวาจาพระเจ้า ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่แค่การอ่านพระวาจา แต่ต้องปฏิบัติพระวาจา เพราะคำว่า หล่อเลี้ยง ก็คือ การที่เราจะต้องกลืนกินพระวาจา และให้พระวาจานั้นย่อยสลายตัวตนเก่าของเราพร้อมกับสร้างให้เกิดตัวตนใหม่ขึ้นแทนที่ และกระบวนการปฏิบัติ ก็คือ
1. อ่านพระวาจา
2. รำพึงพระวาจาที่อ่าน และ
3. หาแนวทางให้พระวาจานั้นได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมในชีวิตของเรา
ข้อความใน ข้อ 3.5.14 ได้อ้างอิงคำสัมภาษณ์พระคุณเจ้า Bilung ซึ่งพระคุณเจ้าได้กล่าวว่า “แต่พอพระวาจาของพระเจ้าแผ่ซ่านไปทั่วชีวิตของประชาชน ชุมชนคริสตชนฯก็จะกลายเป็นผลของงานของพระเป็นเจ้า” นั่นหมายถึงพระวาจาของพระเป็นเจ้าได้เปลี่ยนชีวิตของคนๆนั้นแล้ว และพระวาจาก็จะเริ่มเปลี่ยนชีวิตของชุมชน ถ้ามีการรวมตัวกันของคริสตชนที่ร่วมหล่อเลี้ยงชีวิตชุมชนด้วยพระวาจา
ดังนั้น พระวาจาบางส่วนที่เลวีนิติสั่งให้ทำ ในบทอ่านที่ 1 และคำพูดของพระเยซูเจ้าที่พระองค์ สั่งให้ทำ ในพระวรสารมัทธิววันนี้ คือ พระวาจาที่เราทุกคนจะต้องนำไปทำในระหว่างสัปดาห์นี้ โดยสรุปเป็นข้อๆดังนี้
1. ไม่เก็บความเกลียดชังพี่น้องไว้ในใจ
2. กล้าเตือนพี่น้องเมื่อเห็นเขาทำผิด
3. ไม่แก้แค้นคนอื่น
4. ไม่อาฆาตคนอื่น
5. รักเพื่อนบ้านและทำดีต่อเขา
6. ไม่โต้ตอบคนที่ทำร้ายเรา
7. ยอมเป็นผู้แพ้ ไม่ว่าเราจะผิด หรือ ไม่ผิด
8. ไม่หลบหลีกคนที่จะมาขอ (ไม่ว่าเขาจะเดือดร้อนจริงๆ หรือ จะมาหลอกเรา)
9. รักและเมตตาคนที่เกลียดเรา หรือ ตั้งตนเป็นศัตรูกับเรา ฯลฯ
จะทำให้หมด หรือ จะเริ่มทำบางข้อก็ได้ แต่ที่สำคัญคือ ต้องทำแม้มันยาก และเราจะค่อยๆเห็นความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเรา