สวัสดีครับ
สัปดาห์ละครั้ง23 ก.พ. 2014
“ฟ้าหลังฝน” เป็นสำนวนไทยมีความหมายที่ให้ความหวังทำให้เกิดกำลังใจในยามประสบปัญหามีความทุกข์ยากในชีวิตสำนวนไทยหรือเราอาจจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า“คำพังเพย” ก็ได้ไม่ว่าจะเป็นของชาติใดภาษาใดส่วนใหญ่แล้วเขาคิดขึ้นมาโดยนำเอาพฤติกรรมหรือเหตุการณ์ตามธรรมชาติมาเป็นต้นแบบ
เมื่อเราพูดถึงท้องฟ้าเราเข้าใจกันทุกคนว่ามันคืออะไรและทันทีที่พูดถึงฟ้าเราก็จะแหงนหน้ามองดูอาณาบริเวณกว้างขวางไร้พรมแดนที่อยู่เหนือหัวเรานอกจากนั้นเราจะคิดถึงหมู่เมฆดาวเดือนหรือแสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์
คำว่า“ฟ้าหลังฝน” ที่มาก็คือตามธรรมชาติก่อนที่ฝนจะตกจะเกิดลักษณะของหมู่เมฆที่เกาะตัวกันจนดูเข้มจนเกือบจะดำมีการเคลื่อนตัวเร็วกว่าปกติเพราะมีกระแสลมพัดแรงถ้าแรงมากๆก็เรียกว่า“พายุ”สภาพอย่างนี้เราได้ยินเขาเรียกกันว่า“ฝนตั้งเค้า” ถ้าอยู่ตามบ้านนอกชนบทจะต้องรีบเก็บผ้าที่ตากไว้บนราวตากผ้านอกบ้านต้องปิดหน้าต่างปิดประตูเพราะมิฉะนั้นฝนจะสาดเข้าบ้านเปียกหมดเด็กๆจะถูกห้ามไม่ให้ออกนอกบ้านเพราะสิ่งที่มากับฝนคือ“ฟ้า” แต่ไม่ใช่ธรรมดาเป็น“ฟ้าผ่า”ทำให้คนให้สัตว์ตายมามากต่อมากแล้ว
สรุปแล้วบรรยากาศก่อนฝนตกอย่างนี้ไม่สู้จะมีใครชอบนักเพราะทำให้เกิดความรู้สึกน่ากลัวบางทีมีเสียงลมพายุพัดต้นไม้หักโค่นเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าฯลฯจำได้ว่าสมัยเป็นเด็กเล็กๆเมื่อมีพายุฝนฟ้าคะนองอย่างนี้แม่จะเรียกให้มาคุกเข่าสวดต่อหน้าหิ้งพระจุดเทียนเสกที่อยู่บนหิ้งพระคือขอพระคุ้มครองนั่นเอง
และแล้วเมื่อฝนหายบรรยากาศก็เปลี่ยนไปราวฟ้ากับดินท้องฟ้าโปร่งใสอากาศเย็นสบายและสดชื่นหายใจได้เต็มปอดดีจริงๆเพราะบรรดาฝุ่นละอองมลภาวะในอากาศมันถูกน้ำฝนชะล้างไปจนหมดสิ้น
พี่น้องวันนี้จึงอยากจะเป็นกำลังใจให้ผู้ที่กำลังประสบปัญหาพบกับความทุกข์ยากอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามขอให้ความเพียรอดทนด้วยความมั่นใจว่าเราจะต้องมี“ฟ้าหลังฝน”อย่างแน่นอนและในฐานะที่เรามีความเชื่อมีความศรัทธาเรารู้ว่าหลายครั้งลำพังตัวเราเองไม่สามารถจะผ่านอุปสรรคปัญหาหรือความทุกข์ยากนั้นไปได้แต่โดยอาศัยพระพรพระเมตตาจากพระเป็นเจ้าเราสามารถเอาชนะมันได้อย่างแน่นอน… ที่สำคัญเราอย่าลืมคุกเข่าลงจุดเทียนและสวดภาวนาเหมือนสมัยเล็กๆที่แม่เรียกเรามาสวดตอนที่พายุฝนโหมกระหน่ำบ้านของเราก็แล้วกัน… สวัสดีครับ